วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

8.การปกครองของไทยในปัจจุบัน

การปกครองของไทยในปัจจุบัน

 
 

ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตย หรือระบอบ ปรมิตตาญาสิทธิราชย์ มีกฎหมายสูงสุด คือรัฐธรรมนูญ โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นองค์พระประมุขของประเทศ เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475

แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ประเทศไทยยังเป็นประชาธิปไตยที่ไม่เป็นไปตามหลักการ มีการปฏิวัติรัฐประหารยึด อำนาจ ตั้งคณะรัฐบาลและกำหนดบทบัญญัติขึ้นเอง ประชาชนไม่มีสิทธิเสรีภาพดังที่ควรจะเป็น ดังนั้น จึงเกิดเหตุการณ์ ใหญ่ขึ้นถึง 3 ครั้ง คือ

ในวันที่ 14 ตุลาคม 2516 มีกลุ่มเรียกร้องประชาธิปไตยและต่อต้านอำนาจเผด็จการ อันประกอบไปด้วยประชาชน จากทุกสาขาอาชีพ ภายใต้การนำของนิสิต นักศึกษาจากทุกสถาบัน เป็นเหตุการณ์ที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์การเมืองการ ปกครองของไทย เพื่อให้เยาวชนรุ่นหลังได้รับรู้ เกิดความหวงแหนและร่วมกันธำรงไว้ซึ่งการปกครองในระบอบ ประชาธิปไตยที่ต้องแลกมาด้วยชีวิต และความยากลำบากของเพื่อนร่วมชาติ

เหตุการณ์ครั้งที่สอง เกิดขึ้นในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ได้มีนิสิตนักศึกษาและประชาชนร่วมกันปกป้องประชาธิปไตย ต่อต้านการกลับมาของกลุ่มอำนาจเก่า ทำให้ประเทศไทยต้องสูญเสียทรัพยากรบุคคลอันมีค่ายิ่งไปเป็นจำนวนมาก

และครั้งล่าสุดเกิดขึ้นวันที่ 17 พฤษภาคม 2535 มีกลุ่มต่อต้านอำนาจเผด็จการและเรียกร้องประชาธิปไตยขึ้นอีก ผลจากการเรียกร้องในครั้งนี้ นำไปสู่การแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งต่อมาได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540

สถาบันต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปกครองประเทศ มีดังนี้

1. ฝ่ายบริหาร คือ คณะรัฐมนตรีหรือรัฐบาล

2. ฝ่ายนิติบัญญัติ คือ รัฐสภา ประกอบด้วยสมาชิก 2 ส่วน คือ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ซึ่งประชาชนเลือกตั้งเข้ามาทั้งหมด
และวุฒิสมาชิก ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ตามการเสนอ ขึ้นโปรดเกล้าฯ ของนายกรัฐมนตรี

3. ฝ่ายตุลาการ คือ ศาล มีหน้าที่พิจารณาคดีต่าง ๆ ให้เป็นไปตามบัญญัติของกฏหมาย เพื่อให้เกิดความ ยุติธรรมแก่ประชาชน ทั้งนี้ในรัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติให้ศาลเป็นสถาบันอิสระจากรัฐสภาและรัฐบาล มีคณะกรรมการตุลาการ (ก.ต.) ทำหน้าที่ควบคุมการแต่งตั้งข้าราชการตุลาการ เพื่อให้ศาลเป็นสถาบันที่ ธำรงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ยุติธรรมอย่างแท้จริง

ที่มา  members.tripod.com/78_2/now.htm



7.กฎหมาย



กฎหมายคืออะไร
 
                คำจำกัดความของ กฎหมาย หมายถึงคำสั่งหรือข้อบังคับความประพฤติของมนุษย์  ซึ่งผู้มีอำนาจสูงสุด หรือรัฏฐาธิปัตย์เป็นผู้บัญญัติขึ้นผู้ใดฝ่าฝืน มีสภาพบังคับ
ลักษณะของกฎหมาย
                เมื่อได้ทราบความหมายของกฎหมายแล้ว  กฎหมายต้องมีลักษณะ  ๕ ประการดังนี้
1. กฎหมายต้องเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับ
                    หมายความว่า  กฎหมายนั้นต้องอยู่ในรูปของคำสั่ง  คำบัญชา  อันเป็นการแสดงออกซึ่งความประสงค์ของผู้มีอำนาจในลักษณะเป็นการบังคับ  เพื่อให้บุคคลอีกคนหนึ่งปฏิบัติหรืองดเว้นการปฏิบัติ  มิใช่เป็นการประกาศชวนเชิญเฉย ๆ  เช่น  ในสมัย  จอมพล ป. พิบูลสงคราม  เป็นนายกรัฐมนตรี  รัฐบาลได้ประกาศเชิญชวนคนไทยให้สวมหมวก  เลิกกินหมากและให้นุ่งผ้าซิ่นแทนผ้าโจงกระเบน  ประกาศนี้แจ้งให้ประชาชนทราบว่ารัฐบาลนิยมให้ประชาชนปฏิบัติอย่างไร  มิได้บังคับจึงไม่เป็นกฎหมาย
                2. กฎหมายต้องเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่มาจากรัฏฐาธิปัตย์ 
                   รัฎฐาธิปัตย์คือ  ผู้ที่ประชาชนส่วนมากยอมรับนับถือว่าเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน  โดยที่ไม่ต้องฟังอำนาจจากผู้ใดอีก  ดังนี้รัฎฐาธิปัตย์จึงไม่ต้องพิจารณาถึงที่มาหรือลักษณะการได้อำนาจว่าจะได้อย่างไร  แม้จะเป็นการปฏิวัติหรือรัฐประหารก็ตามถ้าหากคณะปฏิวัติหรือคณะรัฐประหารเป็นรัฎฐาธิปัตย์ที่สามารถออกคำสั่ง  คำบัญชาในฐานะเป็นกฎหมายของประเทศได้
                3. กฎหมายต้องเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่ใช้ได้ทั่วไป
                    หมายความว่า  กฎหมายต้องเป็นเรื่องที่เมื่อประกาศใช้แล้วจะมีผลบังคับเป็นการทั่วไป  ไม่ใช่กำหนดขึ้นเพื่อประโยชน์ของบุคคลหนึ่ง  หรือให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดปฏิบัติตามเท่านั้น  ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีอายุ  เพศ  หรือฐานะอย่างไรก็ตกอยู่ภายใต้ของการใช้บังคับกฎของกฎหมายอันเดียวกัน  (โดยไม่เลือกปฏิบัติ)  เพราะบุคคลทุกคนมีความเสมอภาคที่จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน  แม้กฎหมายบางอย่างอาจจะมีวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่บุคคล  หรือวางความรับผิดชอบให้แก่คนบางหมู่เหล่า  แต่ก็ยังอยู่ในความหมายที่ว่าใช้บังคับทั่วไปอยู่เหมือนกัน  เพราะคนทั่ว ๆ  ไปที่เข้ามาเกี่ยวข้องในกฎหมายนั้นก็ยังต้องปฏิบัติตามอยู่เสมอ
                    สาระสำคัญอีกประการหนึ่งคือ  กฎหมายเมื่อประกาศมีผลบังคับใช้แล้วก็ใช้ได้ตลอกไป (CONTINUITY) จนกว่าจะถูกแก้ไขเพิ่มเติมหรือถูกยกเลิก  หากไม่มีการยกเลิกก็มีผลบังคับใช้ได้เสมอ  ดังสุภาษิตกฎหมายที่ว่า กฎหมายนอนหลับบางคราวแต่ไม่เคยตาย (THELAW  SOMETIMESSLEEP, NEVER DIE)
                4. กฎหมายบัญญัติขึ้นเพื่อให้บุคคลปฏิบัติตาม
                    แม้การปฏิบัติบางครั้งอาจจะเกิดจากความไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติ  แต่หากเป็นคำสั่ง  คำบัญชาแล้ว  ผู้รับคำสั่ง  คำบัญชา  ต้องปฏิบัติตาม  หากขัดขืนไม่ปฏิบัติตามก็จะเกิดสภาพบังคับของกฎหมาย  อันเป็นผลร้ายต่อผู้ฝ่าฝืนคำสั่งนั้น  และเป็นที่พึงเข้าใจด้วยว่าผู้ที่อยู่ในฐานะที่จะรับคำสั่งและปฏิบัติตามกฎหมายได้นั้นต้องเป็นบุคคลตามกฎหมาย
                    อย่างไรก็ดีแม้กฎหมายจะไม่ใช้บังคับแก่สัตว์  แต่ก็มีความจำเป็นที่จะต้องควบคุมมิให้สัตว์ก่อความเสียหายหรือความเดือดร้อนรำคาญแก่มนุษย์  ดังนี้กฎหมายจึงกำหนดความรับผิดไว้กับบุคคลผู้เป็นเจ้าของที่ปล่อยปละละเลยไม่ควบคุมดูแลสัตว์เลี้ยงของตนตามสมควร  จึงมิใช่เป็นการออกคำสั่ง  คำบัญชาแก่สัตว์  แต่เป็นการควบคุมโดยผ่านทางผู้เป็นเจ้าของเท่านั้น  ตัวอย่างเช่น  ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา 433  บัญญัติว่า  ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์  ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของ  จำต้องใช้คำเสียหายทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหาย
                5. กฎหมายต้องมีสภาพบังคับ
                    เพื่อให้กฎหมายเกิดความศักดิ์สิทธิ์  และประชาชนเคารพเชื่อฟังปฏิบัติตามกฎหมายจึงต้องมีสภาพบังคับ  (SANCTION) สภาพบังคับของกฎหมายนั้นแบ่งเป็นสภาพบังคับในทางอาญาและทางแพ่ง
                    สภาพบังคับให้ทางอาญาโดยทั่วไปแล้ว  คล้ายคลึงกัน  คือ หากเป็นโทษสูงสุดจะใช้วิธีประหารชีวิต  ซึ่งปางประเทศให้วิธีการนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า  แขวนคอ  แต่ประเทศไทยในปัจจุบันให้นำไปฉีดยาให้ตายใช้วิธีประหารด้วยวิธีอื่นไม่ได้  นอกจากนั้นก็เป็นการจำคุก  เป็นการเอาตัวนักโทษควบคุมในเรือนจำ  ซึ่งต่างกับกักขังเป็นการเอาตัวไปกักไว้ที่อื่นที่มิใช่เรือนจำ  เช่นที่อยู่ของผู้นั้นเอง หรือสถานที่อื่นที่ผู้ต้องกักขังมีสิทธิดีกว่าผู้ต้องจำคุก  สำหรับกฎหมายไทยโทษกักขังจะใช้เฉพาะผู้ซึ่งกระทำผิดครั้งแรก  และความผิดนั้นมีโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน  ศาลจึงจะลงโทษกักขังแทนจำคุกได้  ส่วนการปรับคือ  ให้ชำระเงินตามที่กฎหมายกำหนดไว้ในคำพิพากษาต่อศาล
                    การริบทรัพย์สิน  คือ  การริบเอาทรัพย์นั้นตกเป็นของแผ่นดิน  เช่น  ปืนที่เตรียมไว้ยิงคน  หรือเงินที่ไปปล้นเขามา  นอกจากการริบแล้วอาจสั่งทำลายทรัพย์สินนั้นเสียก็ได้
                    สภาพบังคับในทางแพ่งก็ได้แก่  การกำหนดให้การกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายตกเป็นโมฆะ  ตัวอย่างเช่น  การซื้อขายที่ดินโดยมิได้ทำเป็นหนังสือ  และจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานตกเป็นโมฆะ  การทำนิติกรรมซึ่งมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายก็ดี  เป็นการพ้นวิสัยก็ดี  เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนก็ดี  ตกเป็นโมฆะ   การให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่อีกฝ่ายหนึ่งจากการไม่ชำระหนี้  การให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ถูกละเมิดเป็นต้น

กฎหมายอาญา (Criminal  Law)
                เป็นกฎหมายที่กำหนดเรื่องความผิด  และบทลงโทษไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ  เพราะรัฐมีหน้าที่รักษาความสงบของบ้านเมือง  กฎหมายอาญาจึงกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับราษฎรซึ่งกระทำความผิดขึ้น
กฎหมายอาญามีลักษณะที่สำคัญ  2 ส่วนคือ
                1. ส่วนที่บัญญัติถึงความผิด  หมายความว่าได้บัญญัติถึงการกระทำ  และการงดเว้นกระทำการอย่างใดเป็นความผิดอาญา
                2. ส่วนที่บัญญัติถึงโทษ  หมายความว่าบทบัญญัตินั้น ๆ นอกจากจะได้ระบุว่าการกระทำหรืองดเว้นการกระทำอย่างใดเป็นความผิดแล้ว  ต้องกำหนดโทษอาญาสำหรับความผิดนั้น ๆ ไว้ด้วย
                ตัวอย่าง  ประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  288  บัญญัติว่า  ผู้ใดฆ่าผู้อื่นต้องระวางโทษประหารชีวิต  จำคุกตลอดชีวิต  จำคุกตั้งแต่สิบห้าถึงยี่สิบปี
                ประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา  358  บัญญัติว่า  ผู้ใดทำให้เสียหาย   ทำลายทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่น  หรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน  3  ปี  หรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
                ฉะนั้น  กฎหมายอาญาจึงต้องประกอบไปด้วยส่วนที่บัญญัติถึงความผิด  และส่วนที่บัญญัติถึงโทษด้วย  ส่วนโทษอาญาที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา  ได้แก่
(1)       ประหารชีวิต
(2)       จำคุก
(3)       กักขัง
(4)       ปรับ
(5)       ริบทรัพย์สิน
นอกจากที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญาแล้ว  ยังมีพระราชบัญญัติอื่นที่กำหนดความผิดเฉพาะเรื่อง  และวางโทษไว้ด้วย  เช่น  พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ  พระราชบัญญัติอาวุธปืน  เครื่องปืน  และวัตถุระเบิด  และพระราชบัญญัติการพนัน  พระราชบัญญัติจราจรทางบก  พระราชบัญญัติศุลกากร  เป็นต้น  พระราชบัญญัติพิเศษที่ระบุความผิดทางอาญา  และกำหนดโทษไว้ด้วยเหล่านี้รวมเรียกว่ากฎหมายอาญาทั้งสิ้น
หลักเกณฑ์สำคัญของประมวลกฎหมายอาญา  มีดังนี้
1. จะไม่มีความผิดโดยไม่มีกฎหมาย  หมายความว่า  กฎหมายอาญาจะใช้บังคับได้เฉพาะการกระทำซึ่งกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะนี้ถือว่าเป็นความผิด  ถ้ากฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะกระทำไม่ถือว่าเป้ฯความผิดแล้ว  จะถือว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดไม่ได้  และจะลงโทษกันไม่ได้  หลักเรื่องกฎหมายอาญาไม่มีผลย้อนหลังนี้  กฎหมายไม่ให้ย้อนหลังก็เฉพาะที่จะเป้ฯผลร้ายแก่ผู้กระทำความผิดเท่านั้น  เช่น  การกระทำความผิดใดที่ล่วงเลยการลงโทษ  หรือล่วงเลยอายุความฟ้องร้อง  แม้จะได้มีกฎหมายใหม่บัญญัติกำหนดอายุความมากขึ้นกว่าเดิม  ก็จะเอาตัวผู้กระทำมาฟ้องร้องลงโทษไม่ได้  แต่หากกฎหมายใหม่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดมากกว่ากฎหมายเก่าเช่นนี้  กฎหมายก็ให้มีผลย้อนหลังได้  เช่น ประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา 3 บัญญัติว่า  ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด  ให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดไม่ว่าในทางใด...
2. จะไม่มีโทษโดยไม่มีกฎหมาย คือบุคคลจะต้องรับโทษต่อเมื่อมีกฎหมาย ที่ใช้อยู่ในขณะกระทำบัญญัติให้ต้องรับโทษนั้น ๆ เช่น การกระทำความผิดที่มีแต่โทษปรับ ศาลก็ลงโทษได้แต่โทษปรับ ศาลจะลงโทษจำคุกซึ่งไม่ใช้โทษที่กฎหมายบัญญัติไว้ไม่ได้
3. จะต้องตีความกฎหมายอาญาโดยเคร่งครัด กล่าวคือ กรณีที่ถ้อยคำของกฎหมายเป็นที่น่าสงสัย จะตีความโดยขยายความไปลงโทษหรือเพิ่มโทษผู้ต้องหาไม่ได้ แต่อาจตีความโดยขยายความให้เป็นผลดีแก่ผู้ต้องหาได้ ฉะนั้น หลักเกณฑ์ของกฎหมายอาญาจึงเกิดโดยตรงจากตัวบทเท่านั้น และการตีความบทบัญญัติทั้งหลายนั้นก็จะต้องตีความโดยเคร่งครัด กล่าวคือ การกระทำที่ถูกกล่าวหาเป็นความผิดนั้น และการตีความบทบัญญัติทั้งหลายนั้นก็จะต้องตีความโดยเคร่งครัด กล่าวคือ การกระทำที่ถูกกล่าวหาเป็นความผิดนั้น จะต้องอยู่ในความหมายตามปกติธรรมดาของถ้อยคำทั้งหลายที่ใช้ในกฎหมายนั้น จะขยายถ้อยคำเหล่านั้นออกไปไม่ได้
4. การอุดช่องว่างแห่งกฎหมาย  ในกรณีที่ประมวลกฎหมายอาญาหรือพระราชบัญญัติอื่นที่บัญญัติความผิดและโทษไม่มีบัญญัติไว้  ซึ่งเรียกว่าช่องว่างแห่งกฎหมายนั้น  ศาลจะอุดช่องว่างแห่งกฎหมายให้เป็นผลร้ายแก่ผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่ได้  แต่ศาลอาจอุดช่องว่างแห่งกฎหมายเพื่อให้เป็นผลดีแก่ผู้ต้องหาหรือจำเลยได้
ความผิดทางอาญาและความผิดทางแพ่ง  แตกต่างกันอย่างไร
                เนื่องจากกฎหมายอาญามีความประสงค์ที่จะคุ้มครองความปลอดภัยของชุมชนแต่กฎหมายแพ่งมีความประสงค์ที่จะคุ้มครองสิทธิของเอกชน  จึงมีข้อแตกต่างที่สำคัญดังนี้
                1. ความผิดทางอาญาเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดผลเสียหายหรือเกิดความหวาดหวั่นคร้ามแก่บุคคลทั่วไป  ความผิดทางอาญาส่วนใหญ่จึงถือว่าเป็นความผิดต่อแผ่นดินหรือประขาชนทั่วไป
                    ส่วนความผิดทางแพ่งเป็นเรื่องระหว่างเอกชนต่อเอกชนด้วยกัน  ไม่มีผลเสียหายต่อสังคมแต่อย่างใด
                2. กฎหมายอาญานั้นมีวัตถุประสงค์ที่จะลงโทษผู้กระทำความผิด  ฉะนั้น  หากผู้ทำผิดตายลง  การสืบสวนสอบสวน  การฟ้องร้อง  หรือการลงโทษก็เป็นอันระงับลงไป
                    ส่วนความผิดทางแพ่งเป็นเรื่องการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับทรัพย์สินของบุคคล  ดังนั้น  เมื่อผู้กระทำผิดหรือผู้ละเมิดตายลง  ผู้เสียหายย่อมฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายต่าง ๆ  จากกองมรดกของผู้กระทำผิดหรือผู้ละเมิดได้  เว้นแต่จะเป็นหนี้เฉพาะตัวเช่น  แดงจ้างดำวาดรูป  ต่อมาดำตายลง  ถือว่าหนี้ระงับลง
                3. ความรับผิดทางอาญาถือเจตนาเป็นใหญ่ในการกำหนดโทษ  เนื่องจากการกระทำผิดดังที่ประมวลกฎหมายอาญา  มาตรา 59  บัญญัติว่า  บุคคลจะต้องรับผิดทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา  เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท  ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท  หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา...
                    ส่วนความรับผิดทางแพ่งนั้น  ไม่ว่ากระทำโดยเจตนาหรือประมาทผู้กระทำก็ต้องรับผิดทั้งนั้น
                4. กฎหมายอาญาต้องตีความโดยเคร่งครัด  ถ้าไม่มีกฎหมายย่อมไม่มีความผิดและไม่มีโทษ  เพราะกฎหมายอาญามีโทษรุนแรง
                   แต่กฎหมายแพ่ง  หลักเรื่องตีความโดยเคร่งครัดไม่มี  กฎหมายแพ่งต้องตีความตามตัวอักษรหรือตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้น    ดังนั้น  การที่จะเป้นความผิดทางแพ่งนั้น  ศาลอาจตีความขยายได้
                5. ความรับผิดทางอาญานั้น  โทษที่จะลงแก่ตัวผู้กระทำผิดถึงโทษประหารชีวิต  จำคุก กักขัง  ปรับ  ริบทรัพย์สิน
                   ส่วนทางกฎหมายแพ่งนั้นไม่มีโทษ  เป็นเพียงถูกบังคับให้ชำระหนี้หรือชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
                6. ความผิดทางอาญาส่วนใหญ่ไม่อาจยอมความได้  เว้นแต่ความผิดต่อส่วนตัวหรือที่กฎหมายอาญาบัญญัติไว้  ความผิดอันยอมความได้เช่น  ความผิดฐานหมิ่นประมาท  ความผิดฐานยักยอก  เป็นต้น  เหตุผลก็คือ  ความผิดทางอาญาถือว่าทำความเสียหายให้แก่มหาชน  ทำลายความสงบสุขของบ้านเมือง  ผู้เสียหายจึงไม่อาจยกเว้นความรับผิดให้ได้
                   ส่วนความผิดทางแพ่ง  ผู้เสียหายอาจยกเว้นความรับผิดให้ได้โดยไม่นำคดีขึ้นฟ้องร้องต่อศาล  หรือเรียกร้องหนี้สินแต่อย่างใดเลย
                7. ความผิดในทางอาญา  บุคคลที่ร่วมกระทำผิดอาจมีความรับผิดมากน้อยต่างกันตามลักษณะของการเข้าร่วม  เช่น  ถ้าเป็นผู้ลงมือกระทำผิดก็ถือเป็นตัวการ  ถ้าเพียงแต่ยุยงหรือช่วยเหลือก็อาจผิดเพียงฐานะผู้สนับสนุน
                    ส่วนความผิดทางแพ่ง  ผู้ที่ร่วมกันก่อหนี้ร่วมกันทำผิดสัญญาหรือร่วมกันทำละเมิดตลอดทั้งยุยงหรือช่วยเหลือ  จะต้องร่วมกับรับผิดต่อเจ้าหนี้หรือผู้ได้รับความเสียหายเหมือนกันหมด
                8. ความรับผิดทางอาญา  การลงโทษผู้กระทำผิดก็เพื่อที่จะบำบัดความเสียหายที่เกิดขึ้นแต่ชุมชนเป็นส่วนรวม  เพื่อให้ผู้กระทำผิดเกิดความหลาบจำและกลับตัวกลับใจเป็นคนดี  อีกทั้งเพื่อป้องกันผู้อื่นมิให้เอาเยี่ยงอย่าง
                   ส่วนความรับผิดทางแพ่ง  กฎหมายมีวัตถุประสงค์ที่จะบำบัดความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่เอกชนคนหนึ่งคนใดโดยเฉพาะ  ซึ่งอาจได้รับความเสียหายแก่ชีวิต  ร่างกาย  จิตใจ  เสรีภาพ  ชื่อเสียง  ทรัพย์สิน  ความเสียหายได้เกิดขึ้นอย่างใด  กฎหมายก็ต้องการที่จะให้เขาได้รับการชดใช้ในความเสียหายอย่างนั้น  ถ้าทำให้คืนสภาพเดิมไม่ได้ก็พยายามจะให้ใกล้เคียงมากที่สุด
บุคคล  หมายถึง  สิ่งที่สามารถมีสิทธิและหน้าที่ได้ตามกฎหมาย  และมิได้หมายความเฉพาะมนุษย์ซึ่งก็เรียกว่าบุคคลธรรมดาเพียงอย่างเดียว  แต่กฎหมายได้รับรองบรรดาคณะบุคคลหรือกิจการและทรัพย์สินบางอย่างตามกฎหมายที่กำหนดไว้  ให้เป็นบุคคลในความหมายของกฎหมายได้อีกประการหนึ่งกล่าวคือให้มีสิทธิและหน้าที่เหมือนบุคคลธรรมดา  เช่น  ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล  ห้างหุ้นส่วนจำกัด  บริษัทจำกัด  สมาคมและมูลนิธิ  แต่สิทธิและหน้าที่บางประการ  ซึ่งโดยสภาพจะพึงมีพึงเป็นได้เฉพาะแก่มนุษย์เพียงเท่านั้น  เช่น  การสมรส  การรับรองบุตร ฯลฯ  บุคคลซึ่งกฎหมายให้สิทธิพิเศษนี้ไว้เรียกว่านิติบุคคลซึ่งก็มีความหมายตามกฎหมายอยู่แล้ว
                บุคคลซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่ก่อให้เกิดมีบทบัญญัติของกฎหมายขึ้น  ดังนั้นบุคคลก็ต้องเป็นผู้รับรู้และปฏิบัติตามให้ถูกต้องตามกฎหมาย  ซึ่งก็จะได้ประโยชน์จากการรับรู้จากกฎหมายกำหนดไว้จึงจำเป็นต้องศึกษาให้ทราบถึงหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ถึงการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ในเรื่องต่าง ๆ
                การศึกษาในส่วนของเรื่องบุคคลนั้นจึงแบ่งออกเป็น  2 ส่วนคือ
1.              บุคคลธรรมดา
2.              นิติบุคคล
บุคคลธรรมดา
                บุคคลธรรมดา  หมายถึง  สิ่งที่มีชีวิตสามารถมีสิทธิและหน้าที่ได้ตามกฎหมาย  คือมนุษย์ทั้งปวงจะเป็นหญิง  ชาย  เด็ก  คนชรา  หรือเป็นผู้บกพร่องในความสามารถหรือเป้ฯคนวิกลจริตอย่างใดก็ตามคนวิกลจริตอย่างใดก็ตามถือเป็นบุคคลธรรมดาทั้งสิ้นโดยมีสาระสำคัญที่ศึกษาต่อไปนี้
1.              สภาพบุคคล
2.              สิ่งที่ประกอบสภาพบุคคล
สภาพบุคคล
                การเริ่มสภาพบุคคล
                ป.พ.พ.  มาตรา 15 บัญญัติว่า  สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารกและสิ้นสุดลงเมื่อตาย
                ทารกในครรภ์มารดาก็สามารถมีสิทธิต่าง ๆ  ได้หากว่าภายหลังคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก
                หมายความว่าการเริ่มสภาพบุคคลต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์  2  ประการ  คือ
1.              คลอดจากครรภ์มารดาและ
2.              อยู่รอดเป็นทารก
คลอด  หมายถึง  คลอดจากครรภ์มารดา  และต้องเป็นการคลอดอย่างสมบูรณ์คือต้องล่วงพ้นออกจากครรภ์มารดาแล้วทั้งตัว  โดยไม่มีอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของทารกติดค้างอยู่จะตัดสายสะดือหรือยังไม่ถือเป็นข้อสำคัญ
อยู่รอดเป็นทารก  หมายความว่า  ทารกที่คลอดจากครรภ์มารดาแล้วมีชีวิตอิสระเป็นของตนเอง  สามารถหายใจได้ด้วยตนเองแม้ว่าจะหายใจได้เพียงครั้งเดียวแล้วตายก็ถือว่ามีสภาพบุคคลแล้ว  ส่วนทารกที่ตายก่อนคลอดหรือในขณะคลอด  ไม่ถือว่ามีสภาพบุคคล  การชันสูตรพลิกศพทารกสามารถกระทำได้โดยการตรวจปอดของทารกว่ามีอากาศในปอดหรือไม่  โดยการนำเอาปอดไปลอยน้ำเพื่อดูการพองตัวของถุงลมจะช่วยวินิจฉัยได้ว่า  ทารกตายก่อนคลอดหรือตายภายหลังที่คลอดแล้ว
สำหรับทารกในครรภ์มารดากฎหมายก็รับรองให้มีสิทธิต่าง ๆ ได้โดยมีเงื่อนไขว่า  ต่อมาทารกนั้นจะต้องคลอดออกมา  มีชีวิตเป็นต้นว่า  สิทธิในการรับมรดกจากบิดาที่ตายในระหว่างเด็กยังอยู่ในครรภ์มารดา  ถ้าภายหลังเกิดมามีชีวิตก็จะได้รับมรดกของบิดาตามส่วนที่ควรจะได้  เว้นแต่ทารกนั้นตายก่อนคลอดหรือขณะคลอดก็ไม่มีสิทธิรับมรดก  แต่การคลอดนี้จะต้องคลอดภายในระยะเวลา  310  วัน  นับแต่วันที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายทั้งนี้เป็นไปตามบทบัญญัติ  ป.พ.พ.  มาตรา 1604  บัญญัติว่า  บุคคลธรรมดาจะเป็นทายาทได้ก็ต่อเมื่อมีสภาพบุคคล  หรือสามารถมีสิทธิได้ตามมาตรา  15  แห่งประมวลกฎหมายนี้ในเวลาที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย  เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ให้ถือว่าเด็กที่เกิดมารอดอย่าภายในสามร้อยสิบวันนับแต่วันที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายนั้นเป็นทารกในครรภ์มารดาอยู่ในเวลาที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย
ตัวอย่าง  นางแดงตั้งครรภ์ได้ 8 เดือน  นายเขียวสามีก็ตาย  ต่อมาอีกประมาณเดือนเศษนายแดงคลอดบุตรมาและมีชีวิตอยู่เช่นนี้ก็ถือว่ามีสิทธิตามกฎหมายและมีสิทธิที่จะรับมรดกของนายเขียวผู้เป็นบิดาได้
กรณีตาม ป.พ.พ.  มาตรา 1604  ดังกล่าวนั้นเป็นกรณีที่บิดาของทารกในครรภ์มาตราถึงแก่ความตายไปก่อนทารกจะคลอดถ้าเป็นกรณีบิดาไม่ตายแต่หย่าขาดกับมารดาของทารกนั้นทารกคลอดหลังจากขาดจากการสมรสย่อมจะเสียสิทธิอันควรจะได้รับจากบิดาของเขา  ในกรณีที่เป็นเช่นนี้กฎหมายได้บัญญัติคุ้มครองประโยชน์ของทารกนั้นไว้ให้เช่นเดียวกันดังบทบัญญัติ  ป.พ.พ. มาตรา 1536  ว่า  เด็กเกิดแต่หญิงขณะเป็นภริยาชายหรือภายในสามร้อยสิบวันนับแต่วันที่การสมรสสิ้นสุดลง  ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามี  หรือเคยเป็นสามีแล้วแต่กรณี
ตัวอย่าง  เช่นนายเขียวและนางวิไลอยู่กินกันสามีภริยาต่อมานางวิไลตั้งครรภ์ได้หกเดือนนายเขียวไปมีภริยาน้อยทำให้นางวิไลโกรธแค้น  จึงขอจดทะเบียนหย่ากับนายเขียวและต่อมาอีประมาณสามเดือนนางวิไลก็คลอดบุตรมามีชีวิตรอด  เช่นนี้บุตรที่คลอดมาก็ย่อมเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของนายเขียว
วันเกิดของบุคคล  คือวันที่ทารกคลอด  และมีชีวิตอยู่รอดเป็นวันที่ทารกเริ่มมีสภาพบุคคลตามกฎหมาย  โดยปกติเมื่อเด็กเกิด  บิดามารดาจะจดบันทึกวันเดือนปีและเวลาของเด็กไว้เสมอ  นอกจากนี้  พ.ร.บ.  ทะเบียนราษฎร์  พ.ศ. 2499  มาตรา  11  ยังได้บังคับให้เจ้าบ้านหรือบิดามารดาไปแจ้งการเกิดต่อนายทะเบียนท้องที่  เพื่อลงทะเบียนคนเกิดภายใน  15  วันนับแต่วันเกิด  อย่างไรก็ตามบางครั้งอาจเกิดปัญหาในเรื่องวันเกิดขึ้นได้  เช่น  เด็กเกิดในท้องที่ห่างไกลความเจริญ  บิดามารดาไม่รู้หนังสือจดวันเดือนปีไม่ถูกหรือจดถูกแต่สูญหาย  ไม่ได้ไปแจ้งต่อนายทะเบียนหรือกรณีทะเบียนราษฎร์ถูกทำลายหรือสูญหายทำให้ไม่มีหลักฐานบันทึกไว้และไม่มีหลักฐานอื่นค้นคว้าได้ว่าบุคคลนั้นเกิดในวันอะไร  เดือนอะไรแน่นอน
กรณีนี้กฎหมายบัญญัติกำหนดวันและเดือนเกิดให้โดย  ป.พ.พ. มาตรา 16  บัญญัติว่า  การนับอายุของบุคคล  ให้เริ่มนับแต่วันเกิด  ในกรณีที่รู้ว่าเกิดในเดือนใดแต่ไม่รู้วันเกิดให้นับวันที่หนึ่งแห่งเดือนนั้นเป็นวันเกิด  แต่ถ้าพ้นวิสัยที่จะหยั่งรู้เดือนและวันเกิดของบุคคลใดให้นับอายุบุคคลนั้นตั้งแต่วันต้นปีปฏิทินซึ่งเป็นปีที่บุคคลนั้นเกิด
ตัวอย่าง  กรณีรู้ว่าเกิดเดือนอะไรแต่ไม่รู้วันเกิด  เช่น  นายพรเกิดเดือนกุมภาพันธ์ปี พ.ศ. 2512  แต่ไม่รู้ว่าเกิดวันที่เท่าไร  ตาม ป.พ.พ. มาตรา  16 บัญญัติให้นับวันที่หนึ่งแห่งเดือนนั้นเป็นวันเกิด  จึงถือได้ว่านายพร  เกิดวันที่ 1  กุมภาพันธ์  พ.ศ. 2512  สำหรับกรณีที่ไม่รู้ทั้งวันและเดือนเกิดมาตรา 16  แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  ให้นับอายุบุคคลนั้นตั้งแต่วันต้นปีปฏิทินซึ่งเป็นปีที่บุคคลนั้นเกิด
ตัวอย่าง  นาสมคิด  ได้ทำนิติกรรมโดยลำพังตนเองขึ้นเมื่อวันที่  8 มกราคม  2530  ต่อมามีผู้คัดค้านว่านิติกรรมเป็นโมฆียะ  เพราะนายสมคิดเป็นผู้เยาว์  ปรากฏว่านายสมคิดเกิดในปี พ.ศ. 2510  แต่ไม่รู้ว่าเกิดวันอะไร  เดือนอะไร  กรณีนี้ต้องนำเอามาตรา  16 ตาม ป.พ.พ. มาใช้บังคับโดยถือว่านายสมคิด  เกิดวันที่ 1 มกราคม  2510  นิติกรรมที่นายสมคิดทำขึ้นเมื่อวันที่ 8 มกราคม  2530  จึงสมบูรณ์ไม่เป็นโมฆียะเพราะถือว่านายสมคิดบรรลุนิติภาวะ  พ้นภาวการณ์เป็นผู้เยาว์แล้วตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม  2530

การสิ้นสภาพบุคคล
                สภาพบุคคลของบุคคลธรรมดาย่อมสิ้นสุดลงเมื่อตาย (ตาม ป.พ.พ.  มาตรา 15)  แต่นอกจากการตายซึ่งถือว่าเป็นปกติธรรมดาอยู่แล้ว  สภาพบุคคลยังสิ้นสุดลงได้ด้วยการสาบสูญอีกประการหนึ่งซึ่งกฎหมายถือว่าผู้นั้นถึงแก่ความตาย  เช่นเดียวกับการตายตามธรรมดา
                การตาย  การตายของบุคคลธรรมดา  เป็นการสิ้นสภาพบุคคลซึ่งทำให้สิทธิและหน้าที่ความรับผิดอันเป็นการเฉพาะตัวของบุคคลนั้นระงับไป  สภาพบุคคลสิ้นสุดไปทันที่นับแต่เวลาตายโดยปกติแล้วย่อมจะทราบเวลาและวันโดยแน่นอนเพราะตาม พ.ร.บ.  ทะเบียนราษฎร์  พ.ศ. 2499  ได้มีการกำหนดบังคับเกี่ยวกับเรื่องแจ้งการตายไว้แล้ว
                ในกรณีที่บุคคลหลายคนตายในเหตุภยันตรายร่วมกัน  เช่น  ไฟไหม้  เรืออับปราง  เครื่องบินตก  รถยนต์ชนกัน  เป็นต้น  บุคคลหลายคนนั้นไม่จำเป็นต้องไปร่วมกันแต่อาจเกิดภัยภยันตรายร่วมกัน  เช่น  เกิดรถยนต์ชนกันเป็นเหตุที่ต่างฝ่ายมีส่วนร่วมกันก่อขึ้น  แต่อย่างไรก็ตามเหตุที่เกิดขึ้นร่วมก็มีเช่น  เรือล่ม  เครื่องบินตก  รถคว่ำ  ผู้โดยสารตายหมด  ไม่สามารถจะทราบได้ว่าใครตายก่อนหลัง  กฎหมายให้สันนิษฐานไว้ว่าตายพร้อมกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 17  ซึ่งบัญญัติว่า  ในกรณีบุคคลหลายคนตายในเหตุภยันตรายร่วมกัน  ถ้าเป็นการพ้นวิสัยที่จะกำหนดได้ว่าคนไหนตายก่อนหลังให้ถือว่าตายพร้อมกัน
                ตัวอย่าง  เช่น  แดง  ดำ  และขาวร่วมเดินทางไปกับรถยนต์โดยสารสายกรุงเทพฯหาดใหญ่  ปรากฏว่าไปชนกับรถบรรทุกสิบล้อ  ผู้โดยสารทั้งหมดที่มากับรถยนต์โดยสารตายหมดรวมทั้งพนักงานประจำรถโดยสารคันดังกล่าวด้วยเช่นนี้ถือว่าทุกคนที่โดยสารมาตายพร้อมกัน
                สาบสูญ  คือการที่บุคคลไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่  โดยไม่มีใครรู้แน่นอนว่าบุคคลที่จากยังมีชีวิตอยู่หรือตายแล้ว  เมื่อครบตามกำหนดที่กฎหมายกำหนดไว้ให้ถือว่าบุคคลผู้นั้นเป็นคนสาบสูญตาม ป.พ.พ.  มาตรา  61  บัญญัติว่า
                ถ้าบุคคลได้จากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปี  เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องของศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้



                  ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือสองปี
                (1) นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง  ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงครามและหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว
                (2) นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทางอับปรางถูกทำลายหรือสูญหายไป
                (3) นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน (1) หรือ (2)  ได้ผ่านพ้นไปถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น
                หลักเกณฑ์ที่จะถือว่าบุคคลใดเป็นคนสาบสูญ
                1. บุคคลนั้นได้จากภูมิลำเนา  หรือถิ่นที่อยู่ไปโดยไม่ได้ข่าวคราวเป็นเวลาห้าปีในกรณีธรรมดาหรือเป็นเวลาสองปีในกรณีพิเศษ  และ
                2. ผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอต่อศาลให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ  และ
                3. ศาลได้มีคำสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ
                เหตุที่จะขอศาลให้มีคำสั่งให้บุคคลใดเป็นคนสาบสูญนั้นมี  2  กรณี  คือ
                กรณีธรรมดา  หมายถึงบุคคลนั้นได้จากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่โดยไม่มีผู้ใดพบเห็น  หรือทราบข่าวคราวเป็นเวลาติดต่อกันห้าปีแล้ว  เช่น  นายสุเทพ  หายไปจากบ้านซึ่งเป็นภูมิลำเนาโดยไม่มีผู้ใดพบเห็นหรือทราบข่าวคราวเลยเป็นเวลาติดต่อกันห้าปี  ภริยาของนายสุเทพหรือทายาทคนหนึ่งคนใดซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการก็มีสิทธิยื่นคำร้องขอต่อศาล  เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้นายสุเทพเป็นคนสาบสูญ
                กรณีพิเศษ  หมายถึงบุคคลนั้นได้ไปตกอยู่ในภยันตรายแก่ชีวิต  เช่น  ในสมรภูมิแห่งสงครามหรือในเรือเมื่ออับปราง  หรือไฟไหม้  เป็นต้น  หากนับเวลาตั้งแต่ภยันตรายแก่ชีวิตนั้นได้สิ้นสุดลงเป็นเวลาผ่านพ้นไปสองปียังไม่ทราบว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่  เช่น  สิบเอกสมชายไปสงครามที่ชายแดนเมื่อสงครามสงบแล้วปรากฏว่าสิบเอกสามชายไม่กลับมาด้วยเวลาได้ผ่านพ้นไปสองปีก็ไม่รู้ว่ามีชิวิตอยู่หรือไม่  ภริยาของสิบเอกสมชายหรือทายาทคนใดคนหนึ่ง  ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือพยักงานอัยการมีสิทธิ์ยื่นคำร้องขอต่อศาล  เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้สิบเอกสมชายเป็นคนสาบสูญสำหรับในกรณีพิเศษนี้
                สำหรับเรื่องเวลาเริ่มต้นของการสาบสูญมีปัญหาว่ามีผลบังคับแต่เมื่อใดซึ่งในเรื่องนี้ป.พ.พ.  มาตรา 62  บัญญัติว่า  บุคคลซึ่งศาลได้มีคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญให้ถือว่าถึงแก่ความตายเมื่อครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าวที่ระบุไว้ในมาตรา  61 กล่าวคือ  การสาบสูญจะเริ่มต้นมีผลเมื่อครบกำหนดห้าปีในกรณีธรรมดา  หรือสองปีในกรณีพิเศษซึ่งไม่ใช่เริ่มต้นนับแต่วันมีคำสั่งศาลหรือนับแต่วันโฆษณาคำสั่งศาลในราชกิจจานุเบกษา
                เมื่อศาลได้มีคำสั่งให้บุคคลใดเป็นคนสาบสูญแล้ว  มีผลเท่ากับว่าบุคคลนั้นได้ถึงแก่ความตาย  ป.พ.พ. มาตรา 62 บัญญัติว่า  บุคคลซึ่งศาลได้มีคำสั่งให้คนสาบสูญให้ถือว่าถึงแก่ความตาย... ดังนั้นเมื่อถือว่าคนสาบสูญถึงแก่ความตายหมายถึงการสิ้นสภาพบุคคล  ฉะนั้นผลที่ใช้บังคับในกรณีที่มีการตายธรรมดาจึงนำมาใช้บังคับในกรณีคนสาบสูญด้วย  เช่น  ทรัพย์มรดกตกทอดแก่ทายาทเว้นแต่ในบางเรื่องผลอาจแตกต่างจากการตายธรรมดา  เช่น  คำสั่งศาลให้บุคคลเป็นคนสาบสูญไม่ทำห้ากรสมรสขาดจากกันถ้าฝ่ายที่ยังอยู่จะทากรสมรสใหม่ต้องนำคำสั่งสาบสูญไปเป็นหลักฐานในการฟ้งหย่าตาม  ป.พ.พ.  มาตรา 1516  (5)
                หากต่อมาพิสูจน์ได้ว่าบุคคลที่สาบสูญนั้นยังคงมีชีวิตอยู่  หรือว่าได้ถึงแก่ความตายแล้วแต่ตายในเวลาอื่นผิดไปจากเวลาที่กฎหมายกำหนดสันนิษฐานไว้  คือ  5  ปีในกรณีธรรมดาหรือ 2 ปีในกรณีพิเศษ  เมื่อบุคคลผู้นั้นเองหรือผู้ใดผู้หนึ่งมีส่วนได้เสีย  หรือพนักงานอัยการร้องขอต่อศาลศาลจะต้องถอนคำสั่งแสดงความสาบสูญ  นั้นแต่การถอนคำสั่งนี้ย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงความสมบูรณ์แห่งการทั้งหลายอันได้ทำไปโดยสุจริตในระหว่างเวลาตั้งแต่ศาลมีคำสั่ง  แสดงความสาบสูญจนถึงเวลาถอนคำสั่งนั้น  แต่อย่างหนึ่งอย่างใด  (ป.พ.พ  มาตรา  63) เช่น  ก. ได้บ้านมา  2  หลังโดยทางมรดกของ ข. คนสาบสูญ  ต่อมา  ข.  กลับมาและศาลถอนคำสั่งสาบสูญ  เช่นนี้  ก. ต้องคืนบ้านทั้งสองหลังให้  ข. แต่ถ้า ก  ได้ขายบ้านหลังหนึ่งให้แก่  ค. โดยสุจริตคือไม่ทราบความจริงว่า ข. ยังมีชีวิตอยู่  ดังนี้สัญญาซื้อขายบ้านระหว่าง  ก. กับ ค. มีผลสมบูรณ์  ข. จะขอเพิกถอนสัญญาซื้อขาย  เพื่อเรียกเอาบ้านหลังนั้นคืนไม่ได้
                คำสั่งศาลแสดงสาบสูญหรือคำสั่งถอนคำสั่งแสดงความสาบสูญต้องโฆษณาในราชกิจจานุเบกษา  เพราะเป็นคำสั่งเกี่ยวกับสถานะของบุคคล  มีความสำคัญต้องประกาศในเอกสารของทางราชการ (ป.พ.พ. มาตรา 64)
                ผลในทางกฎหมายของการเริ่มสภาพบุคคล  และการสิ้นสุดสภาพบุคคล  มีกรณีที่ควรพิจารณาบางประการดังต่อไปนี้
                ทางแพ่ง การรู้สภาพบุคคลเกิดขึ้นเมื่อใดก็เพื่อวินิจฉัยถึงสิทธิและหน้าที่ของบุคคลนั้นรวมทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดที่เกี่ยวโยงและผูกพันถึงบุคคลอื่นด้วยเพราะสิทธิของบุคคลจะมีขึ้นตั้งแต่เกิดมามีชีวิตรอกอยู่คือเริ่มมีสภาพบุคคลหรืออาจย้อนขึ้นไปจนถึงวันที่ปฏิสนธิในครรภ์มารดาเช่น  สิทธิในการเป็นทายาทรับมรดก ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1604 ที่บัญญัติว่า  บุคคลธรรมดาจะเป็นทายาทได้ก็ต่อเมื่อมีสภาพบุคคล  หรือสามารถมีสิทธิตามาตรา 15 แห่งประมวลกฎหมายนี้ในเวลาที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย...
                ส่วนการตายทำให้สิทธิและหน้าที่ของบุคคลสิ้นสุดลง  และทรัพย์ของบุคคลนั้นตกทอดแก่ทายาท  (ป.พ.พ.  มาตรา  1599)  การพิจารณาว่ากองมรดกผู้ตายมีทรัพย์สินอะไรบ้างและมีสิทธิหน้าที่และมีนสิทธิหน้าที่และความรับผิดอย่างไร  กับการพิจารณาหาทายาทในการรับมรดก  กฎหมายให้พิจารณาในเวลาที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย  ดังนั้นการรู้วันเกิด  วันตายของบุคคลจึงมีความสำคัญ
                ทางอาญา  การวินิจฉัยความรับผิดในทางอาญาของผู้กระทำความผิดต่อทารกที่คลอดออกมาจากครรภ์มารดาว่าจะเป็นความผิดฐานฆ่าคนตาย  ตาม ป.อาญามาตรา 288  หรือความผิดฐานทำให้แท้งลูก  ตาม  ป. อาญา  มาตรา  301  ถึงมาตรา  305  จำเป็นต้องวินิจฉัยเสียก่อนว่าทารกมีสภาพบุคคลแล้วหรือไม่  กล่าวคือ  องค์ประกอบความผิดฐานฆ่าคนตายนั้นผู้ถูกกระทำต้องเป็นบุคคลธรรมดาคือ  ทารกต้องมีสภาพบุคคลก่อนแล้วผู้ที่กระทำให้ทารกนั้นถึงแก่ความตายจึงจะมีความผิดฐานฆ่าคนตายถ้าระหว่างที่ทารกอยู่ในครรภ์มารดา  ยังไม่เกิดมารอดอยู่จึงยังไม่เป็นบุคคลที่จะถูกฆ่าได้ หรือทารกที่ตายก่อนคลอดหรือตายระหว่างคลอด  เป็นการคลอดออกมาโดยไม่มีชีวิตไม่มีสภาพบุคคลจึงไม่เป้ฯบุคคลที่จะถูกฆ่าได้เช่นกัน   ดังนั้น  ผู้ที่ทำให้ทารกตายก่อนคลอดหรือตายขณะคลอด  ซึ่งทารกยังไม่มีสภาพเป้ฯบุคคลจึงไม่มีความผิดฐานฆ่าคนตาย  แต่อาจมีความผิดทำให้แท้งลูกตาม ป. อาญา มาตรา 301  ถึงมาตรา 305 ซึ่งมีโทษน้อยกว่าความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาในทางตรงกันข้ามถ้าทารกคลอดแล้วมีชีวิตอยู่รอด  แม้ว่าจะมีชีวิตอยู่เพียงชั่วขณะเดียวก็จะมีสภาพบุคคล  ผู้ที่ทำให้ทารกตายอาจมีความผิดฐานฆ่าคนตายได้
                อนึ่ง  เมื่อบุคคลตายแล้ว  สิ้นสภาพบุคคลกลายเป็นศพ  ก็ไม่เป็นบุคคลที่จะถูกฆ่าได้อีกเช่นเดียวกัน  ผู้ที่ประทุษร้ายต่อศพย่อมไม่มีความผิดฐานฆ่าคนตาย  ตัวอย่าง  นายเขียวใช้มีดปลายแหลมแทงนายดำ  ซึ่งตายมาแล้ว  2  วันทำให้ศพนั้นเละ  เช่นนี่นายเขียวย่อมไม่มีความผิดฐานฆ่าคนตายตาม ป. อาญา มาตรา 288

นิติกรรมคืออะไร
                1. ความหมายของนิติกรรม
                    นิติกรรม  หมายความว่าการใด ๆ อันทำลงโดยชอบด้วยกฎหมายและด้วยใจสมัคร  มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล  เพื่อจะก่อ  เปลี่ยนแปลง  โอน  สงวน  หรือระงับซึ่งสิทธิ
                2. ลักษณะของนิติกรรม 
                    ลักษณะสำคัญของนิติกรรมมีดังนี้
                    2.1 เป็นการกระทำของบุคคลโดยมีการแสดงเจตนา  เฉพาะบุคคลเท่านั้นที่จะแสดงเจตนาได้  อาจจะเป็นบุคคลธรรมดา  หรือนิติบุคคลก็ได้
                    ตัวอย่าง  เช่น  จากภาพยนตร์โฆษณา  ที่เห็นสุนัขคาบเงินมาซื้ออาหารไม่ถือเป็นนิติกรรมเพราะสุนัขไม่ใช่บุคคลตามกฎหมาย
                    การแสดงเจตนาคือการทำด้วยประการใด ๆ  ให้ปรากฏออกมาเป็นที่เข้าใจได้ถึงเจตนาภายในอันต้องการของบุคคล  โดยที่เจตนาภายในของผู้ต้องการกระทำนิติกรรมเป็นสิ่งซึ่งไม่อาจมีผู้ใดล่วงรู้ได้  ดังนั้นการมีเจตนาอยู่ในจิตใจของบุคคลใด ๆ จึงไม่เกิดผลในกฎหมายแต่อย่างใด  ถ้าประสงค์จะให้เกิดผลในกฎหมาย  บุคคลนั้นต้องแสดงเจตนาออกมาให้ปรากฏ การแสดงเจตนาอาจกระทำได้ไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ  เช่น  โดยวาจาหรือลายลักษณ์อักษร  หรือแม้โดยการแสดงอากัปกิริยาอาการซึ่งทำให้ปรากฏออกมาให้เป้ฯที่เจ้าใจได้ถึงเจตนาภายในของบุคคลที่แสดงนั้น
                    ตัวอย่าง
                    1. นายกุ๊กต้องการซื้อระจักรยานจากนายไข่  มีการต่อรองราคาและตกลงซื้อ  ถือเป็นการแสดงเจตนาซื้อจักรยานด้วยวาจาแล้ว
                    2. นายจันทร์เดินไปหยิบหนังสือพิมพ์บนแผงหนังสือโดยไม่พูดจาอะไร  แล้ววางเงินแปดบาทบนโต๊ะ  ถือเป็นการแสดงเจตนาโดยมีท่าทางหรืออากัปกิริยาในการซื้อหนังสือพิมพ์แล้ว
                    3. นายสมเดชรับหนังสือพิมพ์ไทราชติดต่อกันเป็นเวลานาน  เมื่อหมดอายุสมาชิกสำนักพิมพ์ยังคงส่งมาให้เช่นเดิม  โดยนายสมเดชไม่ส่งคืน  ถือเป็นการแสดงเจตนารับหนังสือพิมพ์ต่ออย่างหนึ่ง
                    2.2 ต้องเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย
                     ตัวอย่าง  เช่น  นายดำทำนิติกรรมเสนอขอซื้อปากกาของนายแดงโดยตกลงกันว่า ถ้านายแดงจะสอนงตอบให้ตบหน้านายเขียว  1  ครั้ง  แม้นายแดงจะตบหน้านายเขียวแล้วก็ตาม  การตบหน้าเป้ฯการกระทำละเมิด  ไม่ถือเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย  จึงไม่ถือว่าเป็นนิติกรรม 
                    2.3 ต้องเป็นการกระทำด้วยใจสมัคร  ไม่มีบุคคลใดมาหลอกลวงหรือข่มขู่  หรือสำคัญผิดให้ผู้กระทำนิติกรรมนอกเหนือจากความต้องการแล้วยังอาจรวมถึงการกระทำที่ขาดเจตนา  เช่น  กระทำในขณะปราศจากความรู้สึกตัว  หรือละเมอไม่ได้สติหรือคนวิกลจริต  หรือเด็กไร้เดียงสาได้กระทำการใดไปก็น่าจะถือว่าเป็นการแสดงเจตนาโดยปราศจากใจสมัครด้วย
                      ตัวอย่าง  1 จับมือผู้ป่วยมีสติไม่ปกติ  พูดจาไม่รู้เรื่องให้พิมพ์ลายนิ้วมือ  หรือจับมือให้เซ็นในใบมอบอำนาจ  เป็นการกระทำที่ขาดเจตนาที่เรียกว่าไม่สมัครใจทำ  ไม่เป็นนิติกรรม
                                        2 นายเขียวนอนหลับละเมอเซ็นเช็คไม่ถือเป็นการทำโดยสมัครใจ  จึงไม่ใช่นิติกรรม
                      2.4 ต้องเป็นการกระทำที่มุ่งโดยตรงที่จะให้เกิดผลในทางกฎหมายขึ้นระหว่างบุคคล  ดังนั้นกรพูดจาล้อเล่น  การแสดงอัธยาศัยไมตรีทางสังคมคำปรารภ  หรือการเชื้อเชิญ  เป็นต้น  ไม่ถือเป็นนิติกรรม
                     ตัวอย่าง  เช่น  นายแดงนัดกับนายเขียวว่าหลังสอบเสร็จจะเลี้ยงข้าวและหนัง  ไม่ถือเป็นนิติกรรม
                     2.5 ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวในสิทธิ  เพื่อก่อสิทธิ เปลี่ยนแปลงสิทธิโอนสิทธิ สงวนสิทธิ  หรือระงับสิทธินั้น
                     ตัวอย่าง  1. นายแดงทำสัญญาให้นายขาวเช่าบ้าน ก่อให้เกิดสิทธิตามสัญญาเช่า  ผู้ให้เช่าต้องให้ผู้เช่าใช้ประโยชน์ในบ้านที่ตกลงเช่า  หรือผู้เช่าต้องจ่ายค่าเช่าให้แก่ผู้ให้เช่า  เป็นต้น
                                       2. นายชมพูขายม้าให้แก่นายส้ม  ทำให้กรรมสิทธิ์ในตัวม้าย่อมโอนจากนายชมพูไปยังนายส้ม
                                       3. นายคำเป็นเจ้าหนี้นายเหลือง 100,000  บาท  และเข้าทำสัญญาจำนองกับนายเหลือง  หรือโดยมีนายฟ้าเป็นผู้รับประกันนายเหลืองในการที่จะใช้เงินที่ค้างชำระ  การที่ได้กระทำลงทั้งนี้เพื่อสงวนสิทธิของนายดำ
                                       4. นายเขียวกู้ยืมเงินนายม่วง  เมื่อหนี้ถึงกำหนดนายเขียวนำเงินต้นและดอกเบี้ยไปชำระ  เมื่อนายม่วงได้รับชำระหนี้แล้ว  หนี้เงินกู้เป็นอันระงับสิ้นไป  นายม่วงจะเรียกให้นายเขียวชำระหนี้เงินกู้ยืมอีกไม่ได้
                3. แบบของนิติกรรม
                    แบบของนิติกรรมหรือกรอบพิธีภายนอกของนิติกรรมนั้น  โดยหลักแล้วแม้นิติกรรมจะสมบูรณ์เมื่อมีการแสดงเจตนาก็ตาม  แต่การแสดงเจตนาอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ  ต้องทำตามแบบหรือกรอบพิธีภายนอกของนิติกรรมเสียก่อน  มิฉะนั้นมีผลเป็นโมฆะ
                    กล่าวโดยสรุป  แบบของนิติกรรม  หมายถึงวิธีการหรือพิธีการที่กฎหมายกำหนดและบังคับให้ผู้แสดงเจตนาทำนิติกรรมต้องปฏิบัติตาม  เพื่อความสมบูรณ์ของนิติกรรมที่ทำ
                    อย่างไรก็ตามกฎหมายไม่ได้กำหนดแบบนิติกรรมในทุกเรื่อง  หากนิติกรรมใดกฎหมายไม่ได้กำหนดแบบไว้  นิติกรรมนั้นอาจสมบูรณ์ได้เพียงการแสดงเจตนา
                    ตัวอย่าง  เช่นต้องการซื้อข้าวผัด  1  ห่อ  เพียงสั่งข้าวผัดและคนขายผัดข้าวผัดส่งให้  เป็นการแสดงเจตนาด้วยวาจา  เพียงเท่านี้นิติกรรมซื้อขายข้าวผัดก็เกิดแล้ว  กฎหมายไม่ได้กำหนดแบบของนิติกรรม
                    แบบของนิติกรรมที่กฎหมายกำหนดไว้นั้น  สามารถแยกเป็น  4  ประเภทดังนี้
                    3.1 แบบที่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพบนักงานเจ้าหน้าที่เช่น  สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์  หรือสังหาริมทรัพย์พิเศษซึ่งได้แก่เรือกำปั่นหรือเรือที่มีระวางตั้งแต่  6   ตันขึ้นไป  เรือยนต์หรือเรือกลไฟมีระวางตั้งแต่  5  ตันขึ้นไป  แพและสัตว์พาหนะ  แลกเปลี่ยน ให้  จำนอง  เป็นต้น  กฎหมายบังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
                     ตัวอย่าง  เช่น  นายประสงค์ตกลงซื้อบ้านของนายประสิทธิ์  โดยมีการชำระราคาและส่งมอบบ้านให้เข้าอยู่อาศัย  เช่นนี้การซื้อขายบ้านตกเป็นโมฆะเพราะทำผิดแบบที่กฎหมายกำหนด
                     3.2 แบบที่ต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  แบบของนิติกรรมประเภทนี้กำหนดเพียงต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เท่านั้นไม่ได้บังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือ  เช่น  การจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัท  การจดทะเบียนสถานะของบุคคล  ได้แก่การเกิด  การตาย  การสมรส  การหย่า  การรับรองบุตร  การรับบุตรบุญธรรม  กฎหมายกำหนดให้ต้องไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
                     ตัวอย่าง  เช่น  นายศักดิ์แต่งงานกับนางสาวศรี  โดยจัดงานที่โรงแรมอย่างใหญ่โต  ไม่ถือเป็นการสมรส  เพราะการสมรสต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เท่านั้น
                     3.3 แบบที่ต้องทำเป็นหนังสือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่  เช่น  การทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองหรือแบบลับ
                      ตัวอย่าง  เช่น  นายไก่ต้องการพินัยกรรมแบบเอกสารลับ  โดยเขียนพินัยกรรม และผนึกพินัยกรรมพร้อมลงลายมือชื่อคาบรอยผนึก  และต้องนำไปแสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
                     3.4  แบบที่ต้องทำเป็นหนังสือ  กล่าวคือต้องลงลายมือชื่อในหนังสือที่ทำนิติกรรม  หนังสือนั้นจะทำเป็นภาษาต่างประเทศก็ได้  จะเขียนเองหรือพิมพ์ก็ได้
                     ส่วนลายมือชื่อนั้น  หากคู่กรณีต้องการใช้พิมพ์นิ้วมือ  หรือเป็นแกงไดตราประทับ  หรือเครื่องหมายอื่นทำนองเช่นว่านั้นแทนการลงลายมือชื่อ  หากมีพยานลงลายมือชื่อรับรองไว้ด้วยสองคนให้ถือเสมือนกับลงลายมือชื่อ
                     นิติกรรมที่ต้องทำเป็นหนังสือ เช่น สัญญาเช่าซื้อ  หรือการทำพินัยกรรมแบบธรรมดา เป็นต้น
                     ตัวอย่าง  นายแดงต้องการเช่าซื้อโทรทัศน์ราคา 6,000  บาท  ไม่ได้ทำเป็นหนังสือ สัญญาเช่าซื้อนั้นตกเป็นโมฆะ
                      ข้อสังเกต
                      ส่วนการส่งมอบ เป็นเพียงเงื่อนไขหนึ่งของนิติกรรมที่ทำให้นิติกรรมนั้นสมบูรณ์  ไม่ถือเป็นแบบที่ทำให้นิติกรรมเป็นโมฆะ
                      ตัวอย่าง  เช่น  ในสัญญาหมั้นต้องมีการส่งมอบของหมั่นให้แก่กัน  แม้ไม่ส่งมอบของหมั่นก็ไม่ทำให้สัญญาหมั้นตกเป็นโมฆะแต่อย่างใด  เพราะไม่ใช่แบบของการหมั่น  แต่จะทำให้สัญญาหมั้นไม่สมบูรณ์เท่านั้น
                4. ความสามารถของบุคคลในการทำนิติกรรม
                    บุคคล  หมายถึง  สิ่งที่สามารถมีสิทธิและหน้าที่ได้ตามกฎหมาย  ดังนั้นโดยหลักแล้วบุคคลย่อมมีความสามารถในการทำนิติกรรมได้ทั้งสิ้น  เว้นแต่บุคคลนั้นจะเป็นผู้หย่อนความสามารถหรือกฎหมายจำกัดความสามารถในการทำนิติกรรมไว้  ทั้งนี้เพื่อช่วยเหลือคุ้มครองผลประโยชน์ของบุคลเหล่านั้น

                    ผู้หย่อนความสามารถ  หมายถึงบุคคลดังต่อไปนี้
                    4.1 ผู้เยาว์  หมายถึง  บุคคลซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะตามกฎหมาย  ซึ่งบุคคลจะบรรลุนิติภาวะได้  มีเงื่อนไขดังนี้
                          ก. อายุครบ  20  ปีบริบูรณ์
                                ข. ทำการสมรสโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งการสมรสตามกฎหมายนั้นจะทำได้เมื่อชายและหญิงมีอายุ  17  ปีบริบูรณ์  โดยได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมของทั้งสองฝ่าย  หรือหากมีอายุน้อยกว่า  17  ปี  หากมีเหตุสมควรและมีดุลพินิจของศาลอนุญาตให้สมรสได้  บุคคลดังกล่าวนั้นจะกลายเป็นบุคคลผู้บรรลุนิติภาวะตามกฎหมาย  แม้ต่อมาหย่าขาดจากกันขณะอายุยังไม่ถึง  20 ปี ก็ยังคงเป็นบุคคลผู้บรรลุนิติภาวะเช่นเดิม
                     ตัวอย่าง  เช่น นางสาวเดือนอายุ  16  ปี  ตั้งครรภ์  หากศาลมีดุลพินิจเห็นควรอนุญาตให้นางสาวเดือนสมรสกับนายเด่นได้  เช่นนี้นางสาวเดือนถือเป็นบุคคลผู้บรรลุนิติภาวะแล้ว
                     การทำนิติกรรมของผู้เยาว์  ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมเสียก่อน  หาฝ่าฝืนนิติกรรมตกเป็นโมฆียะ
                     ตัวอย่าง เช่น นายเล็กอายุ 15 ปี ไปซื้อมอเตอร์ไซด์  ราคา  50,000  บาท  นิติกรรมที่นายเล็กซึ่งเป็นผู้เยาว์ซื้อมอเตอร์ไซด์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม  มีผลเป็นโมฆียะ
                     มีข้อยกเว้นซึ่งผู้เยาว์สามารถทำได้โดยลำพังโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม มี 3 กรณี  ดังนี้
                     1)  นิติกรรมที่ทำให้ผู้เยาว์ได้สิทธิ  หรือหลุดพันจากหน้าที่  ถือเป็นนิติกรรมที่ได้ประโยชน์แก่ผู้เยาว์แต่ฝ่ายเดียว  เช่น การรับทรัพย์ที่มีผู้ยกให้โดยเสน่หา  การรับมรดกโดยไม่มีภาระติดพันหรือมีเงื่อนไขใด ๆ  และการปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้  ซึ่งเป็นผู้เยาว์  เป็นต้น
                      ตัวอย่าง  เช่น  ยายของเด็กชายนิดยกที่ดินให้เด็กชายนิดซึ่งเป็นหลานโดยทำใบมอบอำนาจให้หลานไปทำนิติกรรมแทน  แม้เด็กชายนิดจะยังไม่บรรลุนิติภาวะก็เป็นผู้รับมอบอำนาจได้  ถือเป็นเรื่องที่ผู้เยาว์สามารถทำได้ด้วยตนเองโดยลำพัง
                      2) นิติกรรมที่เป็นเรื่องเฉพาะตัวของผู้เยาว์  โดยความสมัครใจของผู้เยาว์ผู้แทนโดยชอบธรรมจะแสดงเจตนาแทนไม่ได้  เช่น  การทำพินัยกรรมการรับรองบุตรเพื่อเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้เยาว์  เป็นต้น
                      ตัวอย่าง
                      1. นายไก่  อายุ 16 ปี  มีบุตรชื่อเด็กชายไข่  นายไก่ต้องการรับรองบุตรเพื่อให้เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของตน  แม้บิดามารดาของนายไก่ไม่ยินยอม  ถือเป็นเรื่องที่นายไก่ผู้เยาว์สามารถทำได้โดยลำพัง
                      2. นายขวดอายุ 15 ปี  ต้องการทำพินัยกรรมเพื่อยกทรัพย์สินของตนให้นางสาวฉิ่งเผื่อตนเองตาย  ถือเป็นเรื่องเฉพาะตัวที่ผู้เยาว์ทำได้  แต่กฎหมายกำหนดให้การทำพินัยกรรมจะทำได้ต้องอายุ 15 ปีบริบูรณ์ หากอายุไม่ถึง  15 ปี  พินัยกรรมมีผลเป็นโมฆะ
                     3) นิติกรรมที่จำเป็นเพื่อการเลี้ยงชีพ  และสมแก่ฐานะของผู้เยาว์ได้แก่การซื้ออาหารรับประทาน  การซื้อของใช้ที่จำเป็น  เป็นต้น
                     ตัวอย่าง  เช่น  เด็กชายแก่นอายุ  14 ปี  ซื้อข้าวผัดเพื่อรับประทาน  ถือว่าเป็นนิติกรรมเพื่อการเลี้ยงชีพ  สามารถทำได้โดยลำพัง  แต่หากเด็กชายแก่นจัดงานเลี้ยงเพื่อนฝูงหรือรับประทานอาหารในโรงแรมห้าดาว  เป็นเงิน 30,000  บาท  เช่นนี้ไม่ถือเป็นการกระทำอันสมควรแม้เพื่อการเลี้ยงชีพแต่ไม่สมแก่ฐานะของผู้เยาว์  ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมเสียก่อน
                      ปัญหาสำคัญอยู่ที่ว่า  ฐานานุรูปความจำเป็นและสมควรเหล่านี้จะถือเอาตามที่เป็นจริงหรือตามที่บุคคลผู้ทำการติดต่อเกี่ยวกับผู้เยาว์เข้าใจเอาเองซึ่งกรณีนี้ศาลอังกฤษตัดสินถือเอาตามความเป็นจริง  ถ้าผู้เยาว์มีของใช้จำเป็นอยู่เพียงพอแล้วยังไปทำนิติกรรมจับจ่ายเกินจำเป็น  แม้ผู้ขายของให้จะไม่รู้ก็ไม่ผูกพันผู้เยาว์ การที่ทำไปนั้นตกเป็นโมฆียะ  ตามตัวบทของกฎหมายไทยยังไม่เห็นมีทางที่จะแปลไปได้เป็นอย่างอื่น  ฐานะของผู้เยาว์ในเรื่องการทำนิติกรรมจึงออกจะตกหนักแก่พ่อค้าอยู่มาก  เพราะไม่มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาแสดงฐานะ
                     แต่มีนิติกรรมบางอย่างที่กระทบกระเทือนถึงผลประโยชน์ของผู้เยาว์ซึ่งกฎหมายเห็นเป็นเรื่องสำคัญ  ผู้เยาว์ทำโดยลำพังไม่ได้  แม้ผู้แทนโดยชอบธรรมจะให้ความยินยอมก็ทำไม่ได้  ต้องให้ศาลเข้ามาควบคุมการทำนิติกรรมของผู้เยาว์  มีนิติกรรมดังนี้เช่น  ขาย  แลกเปลี่ยน  จำนอง  ขายฝาก  ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินกว่า  3  ปี  ให้เช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์  หรือให้กู้ยืมเงินเป็นต้น  ซึ่งเรื่องเหล่านี้ต้องให้ศาลอนุญาตก่อน
                     ตัวอย่าง  เช่น  นายใหญ่  และนางน้อย  ยกบ้านของตนให้กับเด็กชายเยี่ยม อายุ  3  ขวบ  ต่อมาครอบครัวมีปัญหาทางการเงินต้องการขายบ้านหลังดังกล่าวของเด็กชายเยี่ยม  การขายบ้านทำไม่ได้แม้บิดามารดาจะยินยอมหรือจะอ้างความจำเป็นทางเศรษฐกิจเพื่อขายบ้านของเด็กชายเยี่ยมไม่ได้  ต้องให้ศาลอนุญาตเท่านั้น
                     4.2  คนไร้ความสามารถ  หมายถึง  คนวิกลจริตที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ  และตั้งผู้อนุบาลเป็นผู้ดูแลคนไร้ความสามารถ
                     การทำนิติกรรมของคนไร้ความสามารถนั้น  คนไร้ความสามารถจะทำนิติกรรมโดยลำพังไม่ได้  หรือทำโดยได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลไม่ได้มิฉะนั้นนิติกรรมจะตกเป็นโมฆียะ               
                     ข้อสังเกต
                     กรณีของคนวิกลจริตที่ศาลไม่ได้สั่งให้คนไร้ความสามารถนั้น  เนื่องจากคนวิกลจริตนี้ไม่จำต้องมีสติรู้สึกผิดชอบอยู่ตลอดเวลา  หากขณะทำนิติกรรมทำไปโดยรู้สึกผิดชอบ  ถึงแม้คู่กรณีอีกฝ่ายจะรู้ว่าเป็นบุคคลวิกลจริต  นิติกรรมสมบูรณ์ใช้ได้  แต่หากขณะนิติกรรมทำไปโดยไม่รู้สึกผิดชอบและคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งรู้ว่าเป็นคนวิกลจริต  นิติกรรมตกเป็นโมฆียะ
                     ตัวอย่าง  เช่น นายใจเป็นคนบ้า  เดินไปซื้อรถเก๋ง 1 คัน  ขณะซื้อรถเก๋งไม่ได้บ้าพูดคุยรู้เรื่อง  นิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์  แต่หากขณะที่นายใจมาซื้อรถมีอาการเป็นบ้าพูดคุยไม่รู้เรื่องเพียงแต่มีเงินซื้อรถเท่านั้น  หากอีกฝ่ายหนึ่งรู้ว่าบ้ายังขายรถให้  นิติกรรมนั้นไม่ผลเป็นโมฆียะ
                     4.3 คนเสมือนไร้ความสามารถ  หมายถึง  คนที่ไม่ถึงกับวิกลจริต แต่มีเหตุบกพร่องบางประการไม่สามารถจัดการงานของตนได้  ศาลจึงตั้งผู้ดูแลคนเสมือนไร้ความสามารถ  เรียกว่า  ผู้พิทักษ์
                      การทำนิติกรรม  โดยหลักคนเสมือนไร้ความสามารถทำนิติกรรมได้โดยลำพัง  ไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์  แต่มีข้อยกเว้นในการทำนิติกรรมบางประเภทเท่านั้นที่กฎหมายกำหนดให้คนเสมือนไร้ความสามารถต้องได้รับความคุ้มครองและช่วยเหลือโดยต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์  หากฝ่าฝืนนิติกรรมตกเป็นโมฆียะ  เช่น การกู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน  นำทรัพย์สินไปลงทุนการรับประกัน  การให้โดยเสน่หา  การเสนอคดีต่อศาล  หรือการดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ  เป็นต้น
                      ตัวอย่างเช่น  นายไก่เห็นว่านายไข่บุตรชายของตนซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว  ติดสุรา  ชอบเล่นการพนัน  จนไม่สามารถจะจัดการเรื่องทรัพย์สินของตนเองได้  นายไก่อาจร้องขอต่อศาลให้สั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถและให้อยู่ในความพิทักษ์ของตนเองก็ได้
                      จากตัวอย่างข้างต้น  นายไข่ไม่สามารถขายบ้านของตนให้กับนายขวดไม่อาจยกแหวนเพชรราคา 50,000  บาทให้แก่นางสาวจาน  ไม่อาจก่อสร้างบ้านใหม่  ซ่อมแซมหรือขยายบ้านเก่าให้ใหญ่ขึ้นได้   นอกจากจะต้องขอความยินยอมจากนายไก่ซึ่งเป็นผู้พิทักษ์เสียก่อน
                     4.4 คู่สมรส  หมายความ  ถึงสามีภรรยาที่จดทะเบียนสมรสตามกฎหมายโดยหลักแล้วคู่สมรสฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดสามารถทำนิติกรรมโดยลำพังตนเองได้ไม่ต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมสรอีกฝ่ายหนึ่ง  แต่มีข้อยกเว้นในการทำนิติกรรมบางประเภทเท่านั้นที่เกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินที่เป็นสินสมรส  กฎหมายกำหนดให้การทำนิติกรรมนั้น ๆ  คู่สมรสโดยต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งก่อน  หากฝ่าฝืนนิติกรรมตกเป็นโมฆียะเช่น  ขาย  แลก  เปลี่ยน  ขายฝาก  ให้เช่าซื้อ  จำนอง  ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินกว่า  3  ปี  ให้กู้ยืมเงินให้โดยเสน่หา  ประนีประนอมยอมความหรือมอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย  เป็นต้น
                ตัวอย่าง  เช่น  นายชายเป็นสามีของนางหญิง  นายชายต้องการบ้านที่ตนอยู่ตามลำพัง  นิติกรรมนี้มีผลเป็นโมฆียะ  ต้องได้รับความยินยอมจากนางหญิงเสียก่อน
                5. วัตถุประสงค์ของของนิติกรรม
                หมายถึงประโยชน์อันเป็นผลสุดท้ายที่ผู้แสดงเจตนาทำนิติกรรมประสงค์จะให้เกิดหรือให้เป็นผลขึ้นมา  เช่น  ทำสัญญาซื้อบ้านผู้ซื้อต้องการได้กรรมสิทธ์ในบ้านมาเป็นของตน  ฝ่ายผู้ขายต้องการได้เงินจากการขายบ้าน  เป็นต้น  แต่หากนิติกรรมนั้นมีวัตถุประสงค์ไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว  นิติกรรมเป็นโมฆะ
                วัตถุประสงค์ของนิติกรรมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายมี  3  กรณีดังนี้
                5.1 นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย  กล่าวคือมีกฎหมายห้ามไว้ไม่ให้กระทำ  เช่น  การซื้อขายยาเสพติด  การจ้างฆ่าคน  การติดสินบนเจ้าพนักงาน  หรือการทำพินัยกรรมในกรณีที่อายุยังไม่ครบ 15 ปี  เป็นต้น
                5.2 นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการพ้นวิสัย  กล่าวคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้โดยแน่แท้  เช่น  ทำสัญญาซื้อม้าชื่อสิรินภา  แต่ม้าตัวดังกล่าวตายก่อนทำสัญญา  ถือว่าสัญญาซื้อขายม้ามีวัตถุประสงค์เป็นการพ้นวิสัย  หรือทำสัญญาว่าจะย้ายดอกอินทนนท์มาไว้ที่กรุงเทพฯ  ถือเป็นเรื่องมีวัตถุประสงค์เป้ฯการพ้นวิสัยไม่อาจชำระหนี้ให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์นั้นได้
                5.3 นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศิลธรรมอันดีของประชาชน  เช่น  รับจ้างเป็นชู้กับภรรยาของคนอื่น เป็นต้น
                6. เจตนาของบุคคลในการทำนิติกรรม
                ซึ่งโดยหลักทั่วไปของนิติกรรม  ต้องเป็นการกระทำของบุคคลโดยมีการแสดงเจตนา  การแสดงเจตนาจะมีผลสมบูรณ์เมื่อการแสดงเจตนากับการแสดงออกเหมือนกัน  แต่ถ้าการแสดงออกไม่ตรงกับเจตนาที่แท้จริงที่มีอยู่ในใจอาจทำให้นิติกรรมนั้นมีผลเป็นโมฆะหรือโมฆียะได้แล้วแต่กรณี
                ความบกพร่องของการแสดงเจตนาที่ทำให้นิติกรรมไม่สมบูรณ์มีดังนี้
                6.1 การแสดงเจตนาซ่อนเร้น  หมายถึงการแสดงเจตนาหลอก  เพราะผู้แสดงเจตนาได้แสดงเจตนาออกมาเพียงหลอก ๆ  ไม่ต้องการให้มีผลผูกพันจริงจังดังที่แสดงออกมานั้น  กล่าวคือปากกับใจไม่ตรงกัน
                ผลของการแสดงเจตนาซ่อนเร้นนิติกรรมยังคงสมบูรณ์อยู่  คู่กรณีทั้งสองฝ่ายยังคงมีสิทธิและหน้าที่ตามนิติกรรมที่แสดงออกทุกอย่าง  เว้นแต่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รู้ถึงเจตนาอันแท้จริงในใจ  จึงจะทำให้นิติกรรมที่แสดงออกมานั้นตกเป็นโมฆะ
                ตัวอย่าง  เช่น นายไก่เสนอจะขายบ้านให้แก่นายไข่  ในราคา 1,000,000  บาท  จริง ๆ แล้วนายไก่ไม่มีเจตนาที่จะขายบ้านแต่มีเจตนาเพียงแต่จะยืมเงินแล้วจะใช้คืนในภายหลัง  แต่นายไข่ไม่ทราบเจตนานั้น  โดยมีเจตนาแท้จริงที่จะซื้อขายบ้านกับนายไก่  ภายหลังนายไก่จะค้านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆะ  โดยอ้างเหตุว่าตนไม่เจตนาที่แท้จริงที่จะขายบ้านไม่ได้
                แต่หากข้อเท็จจริงเปลี่ยนไป  นายไข่รู้ว่านายไก่มีเจตนาจะยืมเงิน  และการซื้อขายบ้านนั้นทำเพื่อลวงเท่านั้น  มีผลให้สัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ
                6.2 การแสดงเจตนา  หมายถึงคู่กรณีไม่มีเจตนาที่จะทำนิติกรรมกันจริง ๆ  แต่ทำขึ้นเพื่อหลอกบุคคลภายนอก  นิติกรรมที่เกิดจากเจตนาลวงตกเป็นโมฆะ  แต่ห้ามยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกที่สุจริต  และต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้น
                ตัวอย่าง  เช่น  นายไก่ต้องการจะเป็นผู้จัดการธนาคาร  แต่ไม่มีทรัพย์สินเพื่อวางประกันในการเข้าทำงาน  นายไก่จึงสมรู้กับนายไข่ทำสัญญาขึ้นฉบับหนึ่งซึ่งนายไข่ลวงขายที่ด้นของตนให้กับนายไก่  เพื่อให้เป็นเจ้าของที่ดินแทนนายไข่แต่เพียงในนามเท่านั้น  สัญญาซื้อขายนี้เป็นสัญญาลวง  ตกเป็นโมฆะ
                แต่หากนายขวดซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น  และเชื่อว่าที่ดินแปลงนั้นเป็นที่ดินของนายไก่  จึงให้นายไก่ยืมเงินไปโดยนายไก่นำที่ดินแปลงดังกล่าวจำนองไว้  นายไข่จะอ้างว่าสัญญาจำนองนั้นเป็นโมฆะ  เพราะว่านายไก่ไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริงไมได้
                6.3 นิติกรรมอำพราง  หมายถึงในระหว่างคู่กรณีจะมีการทำนิติกรรมขึ้นเป็น 2 ลักษณะ  กล่าวคือ  นิติกรรมที่เกิดจากการแสดงเจตนาลวงที่ทำขึ้นเพื่อลวงผู้อื่นให้เข้าใจว่าคู่กรณีได้ตกลงทำนิติกรรมลักษณะนี้กัน  และอีกลักษณะคือ  นิติกรรมที่ถูกอำพรางอันเป็นนิติกรรมที่แท้จริงของคู่กรณีที่ปกปิดอำพรางไว้ไม่เปิดเผยให้ผู้อื่นรู้  ดังนั้นในระหว่างคู่กรณีจะต้องบังคับตามนิติกรรมที่ถูกอำพรางนี้
                ตัวอย่าง เช่น  นายจันทร์กู้เงินนายอังคาร  โดยนายจันทร์มอบที่ดินให้นายอังคารเพื่อใช้ประโยชน์  แต่นายอังคารเกรงเจ้าหนี้คนอื่นของนายจันทร์จะยึดที่ดิน  นายอังคารจึงให้นายจันทร์ทำสัญญาซื้อขายเพื่ออำพรางไว้  ดังนั้นสัญญาซื้อขายที่ดินจึงเป้ฯนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงิน  เช่นนี้กฎหมายให้คู่กรณีบังคับตามนิติกรรมการกู้ยืมเงิน  จะบังคับตามสัญญาซื้อขายที่เปิดเผยไมได้
                แต่อย่างไรก็ตามนิติกรรมอำพรางนั้น  จะต้องทำให้ถูกต้องตาม แบบ ที่กฎหมายบังคับไว้ด้วย  มิฉะนั้นนิติกรรมอำพรางนั้นย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้  เช่น  โจทก์จดทะเบียนขายฝากที่ดินไว้กับจำเลยเป็นการอำพรางการจำนอง  นิติกรรมฉบับแรกคือสัญญาขายฝากเป็นนิติกรรมเปิดเผย  ย่อมตกเป็นโมฆะ  เพราะว่าเป็นการแสดงเจตนาลวง  ส่วนนิติกรรมฉบับหลังคือสัญญาจำนองเป็นนิติกรรมอำพราง  ในระหว่างคู่สัญญาต้องบังคับตามนิติกรรมอำพราง  คือสัญญาจำนองแต่ว่าการจำนองไม่ได้จดทะเบียนให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้  จึงเรียกไม่ได้ว่าเป็นการจำนองแต่เป็นเพียงการกู้เงินโดยอาศัยเอกสารการขายฝากที่ดินที่ทำกันไว้    สำนักงานที่ดินเป็นสัญญากู้เงิน
                6.4 ความสำคัญผิด  เป็นเรื่องการเข้าใจความจริงที่ไม่ถูกต้อง  กล่าวคือเหตุการณ์เป็นอย่างหนึ่งแต่เข้าใจว่าเป็นอีกอย่างหนึ่ง  การสำคัญผิดที่ทำให้นิติกรรมไม่สมบูรณ์แบ่งได้เป็น 2 กรณีคือ
                1) สำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรม  เป็นการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสิ่งที่เป็นสาระสำคัญของนิติกรรมซึ่งมีผลทำให้นิติกรรมเป็นโมฆะ
                ตัวอย่าง  1. นายเอกต้องการจำนองที่ดินแก่นายโท  แต่นายเอกอ่านหนังสือไม่ออกและเชื่อใจนายโท  นายโทจึงนำสัญญามาให้ลงชื่อโดยบอกว่าเป็นสัญญาจำนอง  แต่ความจริงเป็นสัญญาขายที่ดินหรือยกที่ดินให้นายโทหากมีการไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามสัญญาขายหรือสัญญาให้นิติกรรมนั้นถือเป็นการแสดงเจตนาทำนิติกรรมโดยสำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม  ซึ่งเป็นโมฆะ
                                  2. นายหนึ่งส่งมอบนาฬิกาให้แก่นายสองโดยเจตนาจะฝากไว้  แต่นายสองสำคัญผิดว่านายหนึ่งให้โดยเสน่หา  การให้ถือเป็นโมฆะ
                                  3. นายเอกให้เงิน  10,000  บาทกับฝาแฝดชื่อนายใหญ่  ซึ่งนายเอกเชื่อว่าเป็นนายเล็กแฝดผู้น้อง  ถือเป็นการสำคัญผิดในตัวคู่กรณีที่เกี่ยวข้องในนิติกรรม  การแสดงเจตนาของนายเอกเป็นโมฆะ
                2) สำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สิน เป็นความสำคัญผิดในมูลเหตุจูงใจให้ทำนิติกรรม  ซึ่งหากเป้ฯการสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์นั้นเป้ฯสาระสำคัญ  จะมีผลในทางกฎหมายทำให้การแสดงเจตนานั้นเป็นโมฆียะ
                ตัวอย่าง 1. นายไก่สั่งให้นายไข่ปลูกบ้าน  โดยเชื่อว่านายไข่เป็นวิศวกร  และไม่เคยปลูกสร้างบ้านเรือนมาก่อน  นิติกรรมนี้มีผลเป็นโมฆียะ  เพราะสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคล
                                 2. นายหนึ่งซื้อชามลายครามจากนายสอง  โดยมีเจตนาจะซื้อชามกังใส  ปรากฏว่าชามใบนั้นเป็นของใหม่และทำปลอมขึ้นมา  นิติกรรมนี้มีผลเป็นโมฆียะ  เพราะสำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรม
                6.5 การแสดงเจตนาเพราะเหตุกลฉ้อฉล  กลฉ้อฉล  หมายถึง  การหลอกลวงให้เขาสำคัญผิด  ต่างกับสำคัญผิด  เนื่องจากสำคัญผิดเกิดขึ้นจากความนึกคิดของผู้แสดงเจตนาเอง  แต่กลฉ้อฉลเป็นเรื่องการสำคัญผิดซึ่งมิได้เกิดขึ้นจากความนึกคิดของผู้แสดงเจตนาเอง  หากเป็นเพราะมีบุคคลอีกคนหนึ่งซึ่งอาจเป็นคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุคคลภายนอกมาหลอกลวงให้สำคัญผิด  ผลของการแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเป็นโมฆียะ
                ตัวอย่าง 1. นายใหญ่เป็นพ่อค้ารถมือสองซื้อรถเก่ามาทำสีใหม่และเปลี่ยนเครื่องมาแล้ว  ขายรถให้แก่นายเล็กโดยบอกว่าเป็นรถใหม่  ถือเป็นกลฉ้อฉล  และการแสดงเจตนาของนายเล็กเป็นโมฆียะ
                                 2. นายจิมขายม้าให้กับนายจอน  โดยหลอกว่าม้ามีอายุ 3 ปี แต่ความจริงม้าตัวนั้นมีอายุ  10  ปี  ถือเป็นกลฉ้อฉล ทำให้สัญญาซื้อขายม้าเป็นโมฆียะ
                แต่หากกลฉ้อฉลซึ่งคู่กรณีทั้งสองฝ่าย  โดยต่างฝ่ายต่างทำการฉ้อฉลด้วยกัน  ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะหยิบยกเอกกลฉ้อฉลนั้นขึ้นมาบอกล้างนิติกรรม  หรือเรียกค่าสินไหมทดแทนไม่ได้
                ตัวอย่าง  เช่น  นายไก่จูงใจให้นายไข่ซื้อห้องเย็นของตนโดยแจ้งว่าทันสมัยรักษาความเย็นได้ดีมากแต่โดยความเป็นจริงมีขนาดเล็กและเครื่องเสียใช้การไม่ได้  ส่วนนายไข่ได้ปลอมหนังสือมอบอำนาจจากบริษัทมาเพื่อซื้อห้องเย็นนั้น  ซึ่งทั้งนายไก่และนายไข่กระทำการด้วยกลฉ้อฉลทั้งคู่  จะบอกล้างหรือเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในภายหลังไม่ได้
                6.6 จากแสดงเจตนาเพราะเหตุข่มขู่  การข่มขู่  หมายถึง การทำให้กลัวภัยอันใดอันหนึ่ง  เพื่อให้เขาทำนิติกรรม  ถ้าหากไม่ทำตามที่บอกจะได้รับภัยแต่หากการข่มขู่นั้นทำให้อีกฝ่ายหนึ่งกลัวเพราะเป็นสิทธิตามกฎหมาย  หรือเพราะความนับถือยำเกรง ไม่ถือเป็นการข่มขู่  เช่น  ขู่ว่าจะฟ้องคดี  ขู่ว่าจะบอกเลิกสัญญาหรือเป็นความสัมพันธ์ที่ต้องเคารพยำเกรง  เช่น  ลูกกับพ่อ  ศิษย์กับอาจารย์  กรณีเหล่านี้ไม่ใช่การข่มขู่  
                ผลของการแสดงเจตนาเพราะเหตุข่มขู่มีผลเป็นโมฆียะ
                ตัวอย่าง  เช่นนายสมเดชขอยืมเงินนางน้อย 1,000,000 บาท  โดยขู่ว่าถ้าไม่ให้จะเอาไฟเผาบ้าน  การแสดงเจตนาเพราะเหตุข่มขู่มีผลเป็นโมฆียะ
                หรือจากตัวอย่างข้างต้น  นายสมเดชขู่บิดาหรือสามีของนางน้อยก็ถือเป็นการข่มขู่ซึ่งมีผลเช่นเดียวกัน
                ตัวอย่าง เช่น  นายไก่เป็นเจ้าหนี้นายไข่  เมื่อถึงเวลาชำระหนี้นายไข่ขอผัดผ่อนการชำระหนี้  แต่นายไก่ไม่ยอมและขู่ว่าจะฟ้องร้องเรียกเงินที่ค้างชำระและจะยึดทรัพย์สินของนายไข่  เช่นนี้ไม่ถือเป็นการข่มขู่
                7. นิติกรรมที่เป็นโมฆะ
                นิติกรรมที่เป็นโมฆะ  ถือเป็นความไม่สมบูรณ์ของนิติกรรมประเภทหนึ่งคำว่า โมฆะกรรม หมายถึง  นิติกรรมใดหรือการกระทำใดที่กระทำลงไปนั้นเป็นการเสียเปล่าไม่มีผลตามกฎหมาย  ในสายตาของกฎหมายเท่ากับว่าไม่ได้ทำกิจการนั้นเลย  แม้จะแสดงเจตนาผูกพันกันประการใดก็ตาม  สิทธิและหน้าที่ที่ผู้กระทำนิติกรรมหรือการดังกล่าวประสงค์ให้เกิดผลก็หาเกิดความผูกพันตามกฎหมายไม่  การเสียเปล่านี้มีมาแต่เริ่มแรกที่กระทำนิติกรรมต่อกัน
                กล่าวโดยสรุป  โมฆะกรรม  หมายถึง  นิติกรรมที่เสียเปล่าไม่เคยเกิดขึ้นเลย  ไม่มีผบตามกฎหมาย  และไม่สามารถให้สัตยาบันให้นิติกรรมนั้นสมบูรณ์ได้
                เหตุที่ทำให้นิติกรรมเป็นโมฆะมีดังนี้
                1) นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย  เป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อย  หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
                2) นิติกรรมที่มิได้ทำถูกต้องตามแบบที่กฎหมายกำหนดไว้
                3) นิติกรรมที่เกิดจากการแสดงเจตนาซ่อนเร้นโดยคู่กรณีรู้ถึงเจตนาที่ซ่อนอยู่ในใจของผู้แสดง  แสดงเจตนาลวง  อำพราง  หรือสำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรม
                4) นิติกรรมที่เป็นโมฆะกรรมแล้วถูกบอกล้างในภายหลัง
                5) นิติกรรมเป็นโมฆะเพราะเหตุอื่น ๆ  ที่บัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  เช่น  การทำพินัยกรรมของผู้เยาว์ที่อายุไม่ครบ  15 ปีบริบูรณ์
                8. นิติกรรมที่เป็นโมฆียะ
                นิติกรรมที่เป็นโมฆียะ  ถือเป็นความไม่สมบูรณ์ของนิติกรรมประเภทหนึ่ง โมฆียกรรม  หมายถึงนิติกรรมที่อาจถูกบอกล้างให้เป็นโมฆะแต่เริ่มแรกได้แต่ตามความหมายทางกฎหมายนั้น  นอกจากโมฆียกรรมอาจถูกบอกล้างให้เป็นโมฆะแต่เริ่มแรกได้แล้ว  โมฆียะกรรมอาจได้รับสัตยาบันทำให้นิติกรรมนั้นสมบูรณ์แต่เริ่มแรกได้เช่นกัน
                กล่าวโดยสรุป โมฆียะ  หมายถึง  นิติกรรมที่มีผลจนกว่าจะถูกบอกล้างโดยผู้มีอำนาจบอกล้างตามกฎหมาย
                การให้สัตยาบัน  คือการรับรองนิติกรรมที่เป็นโมฆียะให้มีผลสมบูรณ์โดยผู้มีสิทธิบอกล้างโมฆียะกรราม  เช่น  ผู้แทนโดยชอบธรรม  ซึ่งมีผลให้นิติกรรมนั้นสมบูรณ์มาแต่เริ่มแรก  แต่การให้สัตยาบันนั้นต้องทำภายหลังที่นิติกรรมอันเป็นโมฆียะได้เกิดขึ้นแล้วเท่านั้น
                ตัวอย่าง เช่น นายแดงอายุ 16 ปีซื้อรถมอเตอร์ไซด์  ราคา 60,000  บาทโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม  นิติกรรมเป็นโมฆียะ  แต่บิดามารดาซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมเห็นว่าราคาถูกจึงไม่บอกล้างหรือให้การรับรองนิติกรรมที่เป็นโมฆียะ  ถือเป็นการให้สัตยาบัน  ทำให้นิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์ตั้งแต่เริ่มแรก
                เหตุที่ทำให้นิติกรรมเป็นโมฆียะมีดังนี้
1)            เป็นบุคคลผู้หย่อนความสามารถ
2)            เป็นการแสดงเจตนาโดยความสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์  การแสดงเจตนาเพราะกลฉ้อฉล  หรือเพราะเหตุข่มขู่
ผลของนิติกรรมที่เป็นโมฆียะ  มีผลตามกฎหมายดังนี้
1)            โมฆียะกรรมสามารถบอกล้างได้
2)            โมฆียกรรมสามารถให้สัตยาบัน
3)            โมฆียกรรมเมื่อบอกล้างแล้วคู่กรณีให้กลับคืนสู่ฐานะเดิม  เช่น  นายเล็กเป็นผู้เยาว์  นำรถจักรยานไปขายให้นายใหญ่  มีผลเป็นโมฆียะ  เมื่อผู้แทนโดยชอบธรรมบอกล้างนิติกรรม  นายใหญ่ต้องคืนจักรยานให้นายเล็ก  นายเล็กต้องคืนเงินให้กับนายใหญ่
กำหนดระยะเวลาในการบอกล้างนิติกรรมที่เป็นโมฆียะ  กฎหมายกำหนดไว้เป็น 2 ช่วงเวลา  ดังนี้
1)            ต้องบอกล้างภายในระยะเวลา 1 ปี นับแต่เวลาที่อาจให้สัตยาบันได้ หรือ
2)            ต้องบอกล้างภายใน 10 ปี  นับแต่ทำนิติกรรม
ตัวอย่าง  เช่น  นายอเนกอายุ 17 ปีขายรถยนต์ให้กับนายอนันต์  นิติกรรมเป็นโมฆียะ  แต่เมื่อนายอเนกอายุครบ  20  ปี  อาจบอกล้างได้ภายใน 1 ปีนับแต่วันที่บรรลุนิติภาวะได้  หรือหากบิดาของนายอเนกซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมรู้ว่าได้มีการทำนิติกรรมที่เป็นโมฆียะก็สามารถบอกล้างได้ภายใน 1 ปีนับแต่เวลาที่ทำนั้น
หรือจากตัวอย่างเดิม  นายอเนกหรือบิดาซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมจะบอกล้างได้ภายใน 10 ปี  นับแต่วันที่ขายรถก็ทำได้
แต่อย่างไรก็ตามการบอกล้างภายใน 1 ปีนับแต่ให้สัตยาบันนั้นต้องไม่เกินกว่า 10 ปีนับแต่วันที่ทำนิติกรรม


ที่มา  http://www.thethailaw.com/