คำจำกัดความของ “กฎหมาย” หมายถึงคำสั่งหรือข้อบังคับความประพฤติของมนุษย์ ซึ่งผู้มีอำนาจสูงสุด หรือรัฏฐาธิปัตย์เป็นผู้บัญญัติขึ้นผู้ใดฝ่าฝืน
มีสภาพบังคับ
ลักษณะของกฎหมาย
เมื่อได้ทราบความหมายของกฎหมายแล้ว กฎหมายต้องมีลักษณะ ๕ ประการดังนี้
1. กฎหมายต้องเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับ
หมายความว่า
กฎหมายนั้นต้องอยู่ในรูปของคำสั่ง
คำบัญชา อันเป็นการแสดงออกซึ่งความประสงค์ของผู้มีอำนาจในลักษณะเป็นการบังคับ
เพื่อให้บุคคลอีกคนหนึ่งปฏิบัติหรืองดเว้นการปฏิบัติ มิใช่เป็นการประกาศชวนเชิญเฉย ๆ เช่น ในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลได้ประกาศเชิญชวนคนไทยให้สวมหมวก เลิกกินหมากและให้นุ่งผ้าซิ่นแทนผ้าโจงกระเบน
ประกาศนี้แจ้งให้ประชาชนทราบว่ารัฐบาลนิยมให้ประชาชนปฏิบัติอย่างไร มิได้บังคับจึงไม่เป็นกฎหมาย
2. กฎหมายต้องเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่มาจากรัฏฐาธิปัตย์
รัฎฐาธิปัตย์คือ
ผู้ที่ประชาชนส่วนมากยอมรับนับถือว่าเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน โดยที่ไม่ต้องฟังอำนาจจากผู้ใดอีก
ดังนี้รัฎฐาธิปัตย์จึงไม่ต้องพิจารณาถึงที่มาหรือลักษณะการได้อำนาจว่าจะได้อย่างไร แม้จะเป็นการปฏิวัติหรือรัฐประหารก็ตามถ้าหากคณะปฏิวัติหรือคณะรัฐประหารเป็นรัฎฐาธิปัตย์ที่สามารถออกคำสั่ง คำบัญชาในฐานะเป็นกฎหมายของประเทศได้
3.
กฎหมายต้องเป็นคำสั่งหรือข้อบังคับที่ใช้ได้ทั่วไป
หมายความว่า
กฎหมายต้องเป็นเรื่องที่เมื่อประกาศใช้แล้วจะมีผลบังคับเป็นการทั่วไป ไม่ใช่กำหนดขึ้นเพื่อประโยชน์ของบุคคลหนึ่ง
หรือให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดปฏิบัติตามเท่านั้น ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีอายุ เพศ
หรือฐานะอย่างไรก็ตกอยู่ภายใต้ของการใช้บังคับกฎของกฎหมายอันเดียวกัน (โดยไม่เลือกปฏิบัติ)
เพราะบุคคลทุกคนมีความเสมอภาคที่จะได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน
แม้กฎหมายบางอย่างอาจจะมีวัตถุประสงค์ที่จะให้ประโยชน์แก่บุคคล หรือวางความรับผิดชอบให้แก่คนบางหมู่เหล่า แต่ก็ยังอยู่ในความหมายที่ว่าใช้บังคับทั่วไปอยู่เหมือนกัน เพราะคนทั่ว ๆ
ไปที่เข้ามาเกี่ยวข้องในกฎหมายนั้นก็ยังต้องปฏิบัติตามอยู่เสมอ
สาระสำคัญอีกประการหนึ่งคือ
กฎหมายเมื่อประกาศมีผลบังคับใช้แล้วก็ใช้ได้ตลอกไป (CONTINUITY) จนกว่าจะถูกแก้ไขเพิ่มเติมหรือถูกยกเลิก หากไม่มีการยกเลิกก็มีผลบังคับใช้ได้เสมอ ดังสุภาษิตกฎหมายที่ว่า “กฎหมายนอนหลับบางคราวแต่ไม่เคยตาย” (THELAW SOMETIMESSLEEP,
NEVER DIE)
4. กฎหมายบัญญัติขึ้นเพื่อให้บุคคลปฏิบัติตาม
แม้การปฏิบัติบางครั้งอาจจะเกิดจากความไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติ แต่หากเป็นคำสั่ง คำบัญชาแล้ว
ผู้รับคำสั่ง คำบัญชา ต้องปฏิบัติตาม
หากขัดขืนไม่ปฏิบัติตามก็จะเกิดสภาพบังคับของกฎหมาย อันเป็นผลร้ายต่อผู้ฝ่าฝืนคำสั่งนั้น และเป็นที่พึงเข้าใจด้วยว่าผู้ที่อยู่ในฐานะที่จะรับคำสั่งและปฏิบัติตามกฎหมายได้นั้นต้องเป็นบุคคลตามกฎหมาย
อย่างไรก็ดีแม้กฎหมายจะไม่ใช้บังคับแก่สัตว์
แต่ก็มีความจำเป็นที่จะต้องควบคุมมิให้สัตว์ก่อความเสียหายหรือความเดือดร้อนรำคาญแก่มนุษย์
ดังนี้กฎหมายจึงกำหนดความรับผิดไว้กับบุคคลผู้เป็นเจ้าของที่ปล่อยปละละเลยไม่ควบคุมดูแลสัตว์เลี้ยงของตนตามสมควร จึงมิใช่เป็นการออกคำสั่ง คำบัญชาแก่สัตว์
แต่เป็นการควบคุมโดยผ่านทางผู้เป็นเจ้าของเท่านั้น ตัวอย่างเช่น
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
433 บัญญัติว่า “ถ้าความเสียหายเกิดขึ้นเพราะสัตว์
ท่านว่าเจ้าของสัตว์หรือบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของ
จำต้องใช้คำเสียหายทดแทนให้แก่ฝ่ายที่ต้องเสียหาย”
5. กฎหมายต้องมีสภาพบังคับ
เพื่อให้กฎหมายเกิดความศักดิ์สิทธิ์ และประชาชนเคารพเชื่อฟังปฏิบัติตามกฎหมายจึงต้องมีสภาพบังคับ (SANCTION)
สภาพบังคับของกฎหมายนั้นแบ่งเป็นสภาพบังคับในทางอาญาและทางแพ่ง
สภาพบังคับให้ทางอาญาโดยทั่วไปแล้ว คล้ายคลึงกัน
คือ หากเป็นโทษสูงสุดจะใช้วิธีประหารชีวิต
ซึ่งปางประเทศให้วิธีการนั่งเก้าอี้ไฟฟ้า
แขวนคอ
แต่ประเทศไทยในปัจจุบันให้นำไปฉีดยาให้ตายใช้วิธีประหารด้วยวิธีอื่นไม่ได้ นอกจากนั้นก็เป็นการจำคุก เป็นการเอาตัวนักโทษควบคุมในเรือนจำ
ซึ่งต่างกับกักขังเป็นการเอาตัวไปกักไว้ที่อื่นที่มิใช่เรือนจำ เช่นที่อยู่ของผู้นั้นเอง หรือสถานที่อื่นที่ผู้ต้องกักขังมีสิทธิดีกว่าผู้ต้องจำคุก
สำหรับกฎหมายไทยโทษกักขังจะใช้เฉพาะผู้ซึ่งกระทำผิดครั้งแรก และความผิดนั้นมีโทษจำคุกไม่เกินสามเดือน ศาลจึงจะลงโทษกักขังแทนจำคุกได้ ส่วนการปรับคือ
ให้ชำระเงินตามที่กฎหมายกำหนดไว้ในคำพิพากษาต่อศาล
การริบทรัพย์สิน คือ
การริบเอาทรัพย์นั้นตกเป็นของแผ่นดิน
เช่น ปืนที่เตรียมไว้ยิงคน หรือเงินที่ไปปล้นเขามา
นอกจากการริบแล้วอาจสั่งทำลายทรัพย์สินนั้นเสียก็ได้
สภาพบังคับในทางแพ่งก็ได้แก่
การกำหนดให้การกระทำที่ฝ่าฝืนกฎหมายตกเป็นโมฆะ ตัวอย่างเช่น
การซื้อขายที่ดินโดยมิได้ทำเป็นหนังสือ
และจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานตกเป็นโมฆะ
การทำนิติกรรมซึ่งมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายก็ดี เป็นการพ้นวิสัยก็ดี
เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนก็ดี ตกเป็นโมฆะ
การให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่อีกฝ่ายหนึ่งจากการไม่ชำระหนี้
การให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ถูกละเมิดเป็นต้น
กฎหมายอาญา
(Criminal Law)
เป็นกฎหมายที่กำหนดเรื่องความผิด และบทลงโทษไว้สำหรับความผิดนั้น ๆ
เพราะรัฐมีหน้าที่รักษาความสงบของบ้านเมือง กฎหมายอาญาจึงกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับราษฎรซึ่งกระทำความผิดขึ้น
กฎหมายอาญามีลักษณะที่สำคัญ 2 ส่วนคือ
1. ส่วนที่บัญญัติถึงความผิด หมายความว่าได้บัญญัติถึงการกระทำ และการงดเว้นกระทำการอย่างใดเป็นความผิดอาญา
2. ส่วนที่บัญญัติถึงโทษ หมายความว่าบทบัญญัตินั้น ๆ
นอกจากจะได้ระบุว่าการกระทำหรืองดเว้นการกระทำอย่างใดเป็นความผิดแล้ว ต้องกำหนดโทษอาญาสำหรับความผิดนั้น ๆ ไว้ด้วย
ตัวอย่าง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
288 บัญญัติว่า “ผู้ใดฆ่าผู้อื่นต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต จำคุกตั้งแต่สิบห้าถึงยี่สิบปี”
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา
358 บัญญัติว่า “ผู้ใดทำให้เสียหาย
ทำลายทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์ของผู้อื่น หรือผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วย ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3
ปี
หรือปรับไม่เกินหกพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ”
ฉะนั้น
กฎหมายอาญาจึงต้องประกอบไปด้วยส่วนที่บัญญัติถึงความผิด และส่วนที่บัญญัติถึงโทษด้วย ส่วนโทษอาญาที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา ได้แก่
(1)
ประหารชีวิต
(2)
จำคุก
(3)
กักขัง
(4)
ปรับ
(5)
ริบทรัพย์สิน
นอกจากที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญาแล้ว ยังมีพระราชบัญญัติอื่นที่กำหนดความผิดเฉพาะเรื่อง และวางโทษไว้ด้วย เช่น
พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ
พระราชบัญญัติอาวุธปืน
เครื่องปืน และวัตถุระเบิด และพระราชบัญญัติการพนัน พระราชบัญญัติจราจรทางบก พระราชบัญญัติศุลกากร เป็นต้น
พระราชบัญญัติพิเศษที่ระบุความผิดทางอาญา
และกำหนดโทษไว้ด้วยเหล่านี้รวมเรียกว่ากฎหมายอาญาทั้งสิ้น
หลักเกณฑ์สำคัญของประมวลกฎหมายอาญา มีดังนี้
1. จะไม่มีความผิดโดยไม่มีกฎหมาย หมายความว่า
กฎหมายอาญาจะใช้บังคับได้เฉพาะการกระทำซึ่งกฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะนี้ถือว่าเป็นความผิด ถ้ากฎหมายที่ใช้อยู่ในขณะกระทำไม่ถือว่าเป้ฯความผิดแล้ว จะถือว่าการกระทำนั้นเป็นความผิดไม่ได้ และจะลงโทษกันไม่ได้ หลักเรื่องกฎหมายอาญาไม่มีผลย้อนหลังนี้
กฎหมายไม่ให้ย้อนหลังก็เฉพาะที่จะเป้ฯผลร้ายแก่ผู้กระทำความผิดเท่านั้น เช่น
การกระทำความผิดใดที่ล่วงเลยการลงโทษ
หรือล่วงเลยอายุความฟ้องร้อง
แม้จะได้มีกฎหมายใหม่บัญญัติกำหนดอายุความมากขึ้นกว่าเดิม ก็จะเอาตัวผู้กระทำมาฟ้องร้องลงโทษไม่ได้ แต่หากกฎหมายใหม่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดมากกว่ากฎหมายเก่าเช่นนี้ กฎหมายก็ให้มีผลย้อนหลังได้ เช่น ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 บัญญัติว่า “ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด
ให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดไม่ว่าในทางใด...”
2. จะไม่มีโทษโดยไม่มีกฎหมาย
คือบุคคลจะต้องรับโทษต่อเมื่อมีกฎหมาย
ที่ใช้อยู่ในขณะกระทำบัญญัติให้ต้องรับโทษนั้น ๆ เช่น การกระทำความผิดที่มีแต่โทษปรับ
ศาลก็ลงโทษได้แต่โทษปรับ ศาลจะลงโทษจำคุกซึ่งไม่ใช้โทษที่กฎหมายบัญญัติไว้ไม่ได้
3. จะต้องตีความกฎหมายอาญาโดยเคร่งครัด
กล่าวคือ กรณีที่ถ้อยคำของกฎหมายเป็นที่น่าสงสัย
จะตีความโดยขยายความไปลงโทษหรือเพิ่มโทษผู้ต้องหาไม่ได้ แต่อาจตีความโดยขยายความให้เป็นผลดีแก่ผู้ต้องหาได้
ฉะนั้น หลักเกณฑ์ของกฎหมายอาญาจึงเกิดโดยตรงจากตัวบทเท่านั้น
และการตีความบทบัญญัติทั้งหลายนั้นก็จะต้องตีความโดยเคร่งครัด กล่าวคือ
การกระทำที่ถูกกล่าวหาเป็นความผิดนั้น
และการตีความบทบัญญัติทั้งหลายนั้นก็จะต้องตีความโดยเคร่งครัด กล่าวคือ
การกระทำที่ถูกกล่าวหาเป็นความผิดนั้น
จะต้องอยู่ในความหมายตามปกติธรรมดาของถ้อยคำทั้งหลายที่ใช้ในกฎหมายนั้น
จะขยายถ้อยคำเหล่านั้นออกไปไม่ได้
4. การอุดช่องว่างแห่งกฎหมาย
ในกรณีที่ประมวลกฎหมายอาญาหรือพระราชบัญญัติอื่นที่บัญญัติความผิดและโทษไม่มีบัญญัติไว้ ซึ่งเรียกว่าช่องว่างแห่งกฎหมายนั้น
ศาลจะอุดช่องว่างแห่งกฎหมายให้เป็นผลร้ายแก่ผู้ต้องหาหรือจำเลยไม่ได้ แต่ศาลอาจอุดช่องว่างแห่งกฎหมายเพื่อให้เป็นผลดีแก่ผู้ต้องหาหรือจำเลยได้
ความผิดทางอาญาและความผิดทางแพ่ง แตกต่างกันอย่างไร
เนื่องจากกฎหมายอาญามีความประสงค์ที่จะคุ้มครองความปลอดภัยของชุมชนแต่กฎหมายแพ่งมีความประสงค์ที่จะคุ้มครองสิทธิของเอกชน จึงมีข้อแตกต่างที่สำคัญดังนี้
1.
ความผิดทางอาญาเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดผลเสียหายหรือเกิดความหวาดหวั่นคร้ามแก่บุคคลทั่วไป ความผิดทางอาญาส่วนใหญ่จึงถือว่าเป็นความผิดต่อแผ่นดินหรือประขาชนทั่วไป
ส่วนความผิดทางแพ่งเป็นเรื่องระหว่างเอกชนต่อเอกชนด้วยกัน ไม่มีผลเสียหายต่อสังคมแต่อย่างใด
2.
กฎหมายอาญานั้นมีวัตถุประสงค์ที่จะลงโทษผู้กระทำความผิด ฉะนั้น
หากผู้ทำผิดตายลง
การสืบสวนสอบสวน การฟ้องร้อง หรือการลงโทษก็เป็นอันระงับลงไป
ส่วนความผิดทางแพ่งเป็นเรื่องการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนความเสียหายซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับทรัพย์สินของบุคคล ดังนั้น
เมื่อผู้กระทำผิดหรือผู้ละเมิดตายลง
ผู้เสียหายย่อมฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายต่าง ๆ จากกองมรดกของผู้กระทำผิดหรือผู้ละเมิดได้ เว้นแต่จะเป็นหนี้เฉพาะตัวเช่น แดงจ้างดำวาดรูป ต่อมาดำตายลง
ถือว่าหนี้ระงับลง
3.
ความรับผิดทางอาญาถือเจตนาเป็นใหญ่ในการกำหนดโทษ
เนื่องจากการกระทำผิดดังที่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59
บัญญัติว่า “บุคคลจะต้องรับผิดทางอาญาก็ต่อเมื่อได้กระทำโดยเจตนา เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาท
ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติให้ต้องรับผิดเมื่อได้กระทำโดยประมาท
หรือเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายบัญญัติไว้โดยแจ้งชัดให้ต้องรับผิดแม้ได้กระทำโดยไม่มีเจตนา...”
ส่วนความรับผิดทางแพ่งนั้น
ไม่ว่ากระทำโดยเจตนาหรือประมาทผู้กระทำก็ต้องรับผิดทั้งนั้น
4.
กฎหมายอาญาต้องตีความโดยเคร่งครัด
ถ้าไม่มีกฎหมายย่อมไม่มีความผิดและไม่มีโทษ เพราะกฎหมายอาญามีโทษรุนแรง
แต่กฎหมายแพ่ง หลักเรื่องตีความโดยเคร่งครัดไม่มี
กฎหมายแพ่งต้องตีความตามตัวอักษรหรือตามเจตนารมณ์ของบทบัญญัติแห่งกฎหมายนั้น ๆ
ดังนั้น การที่จะเป้นความผิดทางแพ่งนั้น ศาลอาจตีความขยายได้
5. ความรับผิดทางอาญานั้น
โทษที่จะลงแก่ตัวผู้กระทำผิดถึงโทษประหารชีวิต จำคุก กักขัง
ปรับ ริบทรัพย์สิน
ส่วนทางกฎหมายแพ่งนั้นไม่มีโทษ เป็นเพียงถูกบังคับให้ชำระหนี้หรือชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
6. ความผิดทางอาญาส่วนใหญ่ไม่อาจยอมความได้
เว้นแต่ความผิดต่อส่วนตัวหรือที่กฎหมายอาญาบัญญัติไว้ ความผิดอันยอมความได้เช่น ความผิดฐานหมิ่นประมาท ความผิดฐานยักยอก เป็นต้น
เหตุผลก็คือ
ความผิดทางอาญาถือว่าทำความเสียหายให้แก่มหาชน ทำลายความสงบสุขของบ้านเมือง ผู้เสียหายจึงไม่อาจยกเว้นความรับผิดให้ได้
ส่วนความผิดทางแพ่ง
ผู้เสียหายอาจยกเว้นความรับผิดให้ได้โดยไม่นำคดีขึ้นฟ้องร้องต่อศาล หรือเรียกร้องหนี้สินแต่อย่างใดเลย
7. ความผิดในทางอาญา
บุคคลที่ร่วมกระทำผิดอาจมีความรับผิดมากน้อยต่างกันตามลักษณะของการเข้าร่วม เช่น
ถ้าเป็นผู้ลงมือกระทำผิดก็ถือเป็นตัวการ
ถ้าเพียงแต่ยุยงหรือช่วยเหลือก็อาจผิดเพียงฐานะผู้สนับสนุน
ส่วนความผิดทางแพ่ง
ผู้ที่ร่วมกันก่อหนี้ร่วมกันทำผิดสัญญาหรือร่วมกันทำละเมิดตลอดทั้งยุยงหรือช่วยเหลือ จะต้องร่วมกับรับผิดต่อเจ้าหนี้หรือผู้ได้รับความเสียหายเหมือนกันหมด
8. ความรับผิดทางอาญา
การลงโทษผู้กระทำผิดก็เพื่อที่จะบำบัดความเสียหายที่เกิดขึ้นแต่ชุมชนเป็นส่วนรวม
เพื่อให้ผู้กระทำผิดเกิดความหลาบจำและกลับตัวกลับใจเป็นคนดี อีกทั้งเพื่อป้องกันผู้อื่นมิให้เอาเยี่ยงอย่าง
ส่วนความรับผิดทางแพ่ง
กฎหมายมีวัตถุประสงค์ที่จะบำบัดความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่เอกชนคนหนึ่งคนใดโดยเฉพาะ ซึ่งอาจได้รับความเสียหายแก่ชีวิต ร่างกาย
จิตใจ เสรีภาพ ชื่อเสียง
ทรัพย์สิน
ความเสียหายได้เกิดขึ้นอย่างใด
กฎหมายก็ต้องการที่จะให้เขาได้รับการชดใช้ในความเสียหายอย่างนั้น
ถ้าทำให้คืนสภาพเดิมไม่ได้ก็พยายามจะให้ใกล้เคียงมากที่สุด
บุคคล หมายถึง
สิ่งที่สามารถมีสิทธิและหน้าที่ได้ตามกฎหมาย
และมิได้หมายความเฉพาะมนุษย์ซึ่งก็เรียกว่าบุคคลธรรมดาเพียงอย่างเดียว
แต่กฎหมายได้รับรองบรรดาคณะบุคคลหรือกิจการและทรัพย์สินบางอย่างตามกฎหมายที่กำหนดไว้
ให้เป็นบุคคลในความหมายของกฎหมายได้อีกประการหนึ่งกล่าวคือให้มีสิทธิและหน้าที่เหมือนบุคคลธรรมดา เช่น
ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคล
ห้างหุ้นส่วนจำกัด
บริษัทจำกัด สมาคมและมูลนิธิ แต่สิทธิและหน้าที่บางประการ ซึ่งโดยสภาพจะพึงมีพึงเป็นได้เฉพาะแก่มนุษย์เพียงเท่านั้น เช่น
การสมรส การรับรองบุตร ฯลฯ บุคคลซึ่งกฎหมายให้สิทธิพิเศษนี้ไว้เรียกว่านิติบุคคลซึ่งก็มีความหมายตามกฎหมายอยู่แล้ว
บุคคลซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่ก่อให้เกิดมีบทบัญญัติของกฎหมายขึ้น
ดังนั้นบุคคลก็ต้องเป็นผู้รับรู้และปฏิบัติตามให้ถูกต้องตามกฎหมาย
ซึ่งก็จะได้ประโยชน์จากการรับรู้จากกฎหมายกำหนดไว้จึงจำเป็นต้องศึกษาให้ทราบถึงหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ถึงการคุ้มครองสิทธิประโยชน์ในเรื่องต่าง
ๆ
การศึกษาในส่วนของเรื่องบุคคลนั้นจึงแบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ
1.
บุคคลธรรมดา
2.
นิติบุคคล
บุคคลธรรมดา
บุคคลธรรมดา หมายถึง
สิ่งที่มีชีวิตสามารถมีสิทธิและหน้าที่ได้ตามกฎหมาย คือมนุษย์ทั้งปวงจะเป็นหญิง ชาย
เด็ก คนชรา
หรือเป็นผู้บกพร่องในความสามารถหรือเป้ฯคนวิกลจริตอย่างใดก็ตามคนวิกลจริตอย่างใดก็ตามถือเป็นบุคคลธรรมดาทั้งสิ้นโดยมีสาระสำคัญที่ศึกษาต่อไปนี้
1.
สภาพบุคคล
2.
สิ่งที่ประกอบสภาพบุคคล
สภาพบุคคล
การเริ่มสภาพบุคคล
ป.พ.พ. มาตรา 15 บัญญัติว่า “สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารกและสิ้นสุดลงเมื่อตาย
ทารกในครรภ์มารดาก็สามารถมีสิทธิต่าง
ๆ
ได้หากว่าภายหลังคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารก”
หมายความว่าการเริ่มสภาพบุคคลต้องประกอบด้วยหลักเกณฑ์ 2
ประการ คือ
1.
คลอดจากครรภ์มารดาและ
2.
อยู่รอดเป็นทารก
คลอด
หมายถึง คลอดจากครรภ์มารดา
และต้องเป็นการคลอดอย่างสมบูรณ์คือต้องล่วงพ้นออกจากครรภ์มารดาแล้วทั้งตัว
โดยไม่มีอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของทารกติดค้างอยู่จะตัดสายสะดือหรือยังไม่ถือเป็นข้อสำคัญ
อยู่รอดเป็นทารก หมายความว่า
ทารกที่คลอดจากครรภ์มารดาแล้วมีชีวิตอิสระเป็นของตนเอง
สามารถหายใจได้ด้วยตนเองแม้ว่าจะหายใจได้เพียงครั้งเดียวแล้วตายก็ถือว่ามีสภาพบุคคลแล้ว ส่วนทารกที่ตายก่อนคลอดหรือในขณะคลอด ไม่ถือว่ามีสภาพบุคคล
การชันสูตรพลิกศพทารกสามารถกระทำได้โดยการตรวจปอดของทารกว่ามีอากาศในปอดหรือไม่
โดยการนำเอาปอดไปลอยน้ำเพื่อดูการพองตัวของถุงลมจะช่วยวินิจฉัยได้ว่า ทารกตายก่อนคลอดหรือตายภายหลังที่คลอดแล้ว
สำหรับทารกในครรภ์มารดากฎหมายก็รับรองให้มีสิทธิต่าง
ๆ ได้โดยมีเงื่อนไขว่า
ต่อมาทารกนั้นจะต้องคลอดออกมา
มีชีวิตเป็นต้นว่า
สิทธิในการรับมรดกจากบิดาที่ตายในระหว่างเด็กยังอยู่ในครรภ์มารดา ถ้าภายหลังเกิดมามีชีวิตก็จะได้รับมรดกของบิดาตามส่วนที่ควรจะได้
เว้นแต่ทารกนั้นตายก่อนคลอดหรือขณะคลอดก็ไม่มีสิทธิรับมรดก แต่การคลอดนี้จะต้องคลอดภายในระยะเวลา 310
วัน
นับแต่วันที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายทั้งนี้เป็นไปตามบทบัญญัติ ป.พ.พ.
มาตรา 1604 บัญญัติว่า “บุคคลธรรมดาจะเป็นทายาทได้ก็ต่อเมื่อมีสภาพบุคคล หรือสามารถมีสิทธิได้ตามมาตรา 15
แห่งประมวลกฎหมายนี้ในเวลาที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย
เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ให้ถือว่าเด็กที่เกิดมารอดอย่าภายในสามร้อยสิบวันนับแต่วันที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตายนั้นเป็นทารกในครรภ์มารดาอยู่ในเวลาที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย”
ตัวอย่าง นางแดงตั้งครรภ์ได้ 8 เดือน นายเขียวสามีก็ตาย ต่อมาอีกประมาณเดือนเศษนายแดงคลอดบุตรมาและมีชีวิตอยู่เช่นนี้ก็ถือว่ามีสิทธิตามกฎหมายและมีสิทธิที่จะรับมรดกของนายเขียวผู้เป็นบิดาได้
กรณีตาม ป.พ.พ. มาตรา 1604
ดังกล่าวนั้นเป็นกรณีที่บิดาของทารกในครรภ์มาตราถึงแก่ความตายไปก่อนทารกจะคลอดถ้าเป็นกรณีบิดาไม่ตายแต่หย่าขาดกับมารดาของทารกนั้นทารกคลอดหลังจากขาดจากการสมรสย่อมจะเสียสิทธิอันควรจะได้รับจากบิดาของเขา ในกรณีที่เป็นเช่นนี้กฎหมายได้บัญญัติคุ้มครองประโยชน์ของทารกนั้นไว้ให้เช่นเดียวกันดังบทบัญญัติ ป.พ.พ. มาตรา 1536 ว่า “เด็กเกิดแต่หญิงขณะเป็นภริยาชายหรือภายในสามร้อยสิบวันนับแต่วันที่การสมรสสิ้นสุดลง
ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชายผู้เป็นสามี หรือเคยเป็นสามีแล้วแต่กรณี”
ตัวอย่าง
เช่นนายเขียวและนางวิไลอยู่กินกันสามีภริยาต่อมานางวิไลตั้งครรภ์ได้หกเดือนนายเขียวไปมีภริยาน้อยทำให้นางวิไลโกรธแค้น จึงขอจดทะเบียนหย่ากับนายเขียวและต่อมาอีประมาณสามเดือนนางวิไลก็คลอดบุตรมามีชีวิตรอด
เช่นนี้บุตรที่คลอดมาก็ย่อมเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของนายเขียว
วันเกิดของบุคคล คือวันที่ทารกคลอด
และมีชีวิตอยู่รอดเป็นวันที่ทารกเริ่มมีสภาพบุคคลตามกฎหมาย โดยปกติเมื่อเด็กเกิด บิดามารดาจะจดบันทึกวันเดือนปีและเวลาของเด็กไว้เสมอ นอกจากนี้
พ.ร.บ. ทะเบียนราษฎร์ พ.ศ. 2499
มาตรา 11
ยังได้บังคับให้เจ้าบ้านหรือบิดามารดาไปแจ้งการเกิดต่อนายทะเบียนท้องที่ เพื่อลงทะเบียนคนเกิดภายใน 15
วันนับแต่วันเกิด
อย่างไรก็ตามบางครั้งอาจเกิดปัญหาในเรื่องวันเกิดขึ้นได้ เช่น
เด็กเกิดในท้องที่ห่างไกลความเจริญ
บิดามารดาไม่รู้หนังสือจดวันเดือนปีไม่ถูกหรือจดถูกแต่สูญหาย
ไม่ได้ไปแจ้งต่อนายทะเบียนหรือกรณีทะเบียนราษฎร์ถูกทำลายหรือสูญหายทำให้ไม่มีหลักฐานบันทึกไว้และไม่มีหลักฐานอื่นค้นคว้าได้ว่าบุคคลนั้นเกิดในวันอะไร เดือนอะไรแน่นอน
กรณีนี้กฎหมายบัญญัติกำหนดวันและเดือนเกิดให้โดย ป.พ.พ. มาตรา 16 บัญญัติว่า
“การนับอายุของบุคคล
ให้เริ่มนับแต่วันเกิด
ในกรณีที่รู้ว่าเกิดในเดือนใดแต่ไม่รู้วันเกิดให้นับวันที่หนึ่งแห่งเดือนนั้นเป็นวันเกิด แต่ถ้าพ้นวิสัยที่จะหยั่งรู้เดือนและวันเกิดของบุคคลใดให้นับอายุบุคคลนั้นตั้งแต่วันต้นปีปฏิทินซึ่งเป็นปีที่บุคคลนั้นเกิด”
ตัวอย่าง กรณีรู้ว่าเกิดเดือนอะไรแต่ไม่รู้วันเกิด เช่น
นายพรเกิดเดือนกุมภาพันธ์ปี พ.ศ. 2512
แต่ไม่รู้ว่าเกิดวันที่เท่าไร ตาม
ป.พ.พ. มาตรา 16 บัญญัติให้นับวันที่หนึ่งแห่งเดือนนั้นเป็นวันเกิด จึงถือได้ว่านายพร เกิดวันที่ 1
กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2512 สำหรับกรณีที่ไม่รู้ทั้งวันและเดือนเกิดมาตรา
16 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ให้นับอายุบุคคลนั้นตั้งแต่วันต้นปีปฏิทินซึ่งเป็นปีที่บุคคลนั้นเกิด
ตัวอย่าง นาสมคิด
ได้ทำนิติกรรมโดยลำพังตนเองขึ้นเมื่อวันที่ 8 มกราคม
2530
ต่อมามีผู้คัดค้านว่านิติกรรมเป็นโมฆียะ
เพราะนายสมคิดเป็นผู้เยาว์
ปรากฏว่านายสมคิดเกิดในปี พ.ศ. 2510
แต่ไม่รู้ว่าเกิดวันอะไร
เดือนอะไร กรณีนี้ต้องนำเอามาตรา 16 ตาม ป.พ.พ. มาใช้บังคับโดยถือว่านายสมคิด เกิดวันที่ 1 มกราคม 2510
นิติกรรมที่นายสมคิดทำขึ้นเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2530
จึงสมบูรณ์ไม่เป็นโมฆียะเพราะถือว่านายสมคิดบรรลุนิติภาวะ พ้นภาวการณ์เป็นผู้เยาว์แล้วตั้งแต่วันที่ 2
มกราคม 2530
การสิ้นสภาพบุคคล
สภาพบุคคลของบุคคลธรรมดาย่อมสิ้นสุดลงเมื่อตาย
(ตาม ป.พ.พ. มาตรา 15) แต่นอกจากการตายซึ่งถือว่าเป็นปกติธรรมดาอยู่แล้ว
สภาพบุคคลยังสิ้นสุดลงได้ด้วยการสาบสูญอีกประการหนึ่งซึ่งกฎหมายถือว่าผู้นั้นถึงแก่ความตาย เช่นเดียวกับการตายตามธรรมดา
การตาย การตายของบุคคลธรรมดา เป็นการสิ้นสภาพบุคคลซึ่งทำให้สิทธิและหน้าที่ความรับผิดอันเป็นการเฉพาะตัวของบุคคลนั้นระงับไป
สภาพบุคคลสิ้นสุดไปทันที่นับแต่เวลาตายโดยปกติแล้วย่อมจะทราบเวลาและวันโดยแน่นอนเพราะตาม
พ.ร.บ. ทะเบียนราษฎร์ พ.ศ. 2499
ได้มีการกำหนดบังคับเกี่ยวกับเรื่องแจ้งการตายไว้แล้ว
ในกรณีที่บุคคลหลายคนตายในเหตุภยันตรายร่วมกัน เช่น
ไฟไหม้ เรืออับปราง เครื่องบินตก
รถยนต์ชนกัน เป็นต้น
บุคคลหลายคนนั้นไม่จำเป็นต้องไปร่วมกันแต่อาจเกิดภัยภยันตรายร่วมกัน เช่น
เกิดรถยนต์ชนกันเป็นเหตุที่ต่างฝ่ายมีส่วนร่วมกันก่อขึ้น แต่อย่างไรก็ตามเหตุที่เกิดขึ้นร่วมก็มีเช่น เรือล่ม
เครื่องบินตก รถคว่ำ ผู้โดยสารตายหมด ไม่สามารถจะทราบได้ว่าใครตายก่อนหลัง กฎหมายให้สันนิษฐานไว้ว่าตายพร้อมกันตาม ป.พ.พ.
มาตรา 17 ซึ่งบัญญัติว่า “ในกรณีบุคคลหลายคนตายในเหตุภยันตรายร่วมกัน ถ้าเป็นการพ้นวิสัยที่จะกำหนดได้ว่าคนไหนตายก่อนหลังให้ถือว่าตายพร้อมกัน”
ตัวอย่าง เช่น
แดง ดำ
และขาวร่วมเดินทางไปกับรถยนต์โดยสารสายกรุงเทพฯหาดใหญ่ ปรากฏว่าไปชนกับรถบรรทุกสิบล้อ
ผู้โดยสารทั้งหมดที่มากับรถยนต์โดยสารตายหมดรวมทั้งพนักงานประจำรถโดยสารคันดังกล่าวด้วยเช่นนี้ถือว่าทุกคนที่โดยสารมาตายพร้อมกัน
สาบสูญ
คือการที่บุคคลไปจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่ โดยไม่มีใครรู้แน่นอนว่าบุคคลที่จากยังมีชีวิตอยู่หรือตายแล้ว
เมื่อครบตามกำหนดที่กฎหมายกำหนดไว้ให้ถือว่าบุคคลผู้นั้นเป็นคนสาบสูญตาม
ป.พ.พ. มาตรา 61
บัญญัติว่า
“ถ้าบุคคลได้จากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ตลอดระยะเวลาห้าปี
เมื่อผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องของศาลจะสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญก็ได้
ระยะเวลาตามวรรคหนึ่งให้ลดเหลือสองปี
(1)
นับแต่วันที่การรบหรือสงครามสิ้นสุดลง
ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงครามและหายไปในการรบหรือสงครามดังกล่าว
(2)
นับแต่วันที่ยานพาหนะที่บุคคลนั้นเดินทางอับปรางถูกทำลายหรือสูญหายไป
(3)
นับแต่วันที่เหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ใน (1) หรือ (2)
ได้ผ่านพ้นไปถ้าบุคคลนั้นตกอยู่ในอันตรายเช่นว่านั้น
หลักเกณฑ์ที่จะถือว่าบุคคลใดเป็นคนสาบสูญ
1. บุคคลนั้นได้จากภูมิลำเนา
หรือถิ่นที่อยู่ไปโดยไม่ได้ข่าวคราวเป็นเวลาห้าปีในกรณีธรรมดาหรือเป็นเวลาสองปีในกรณีพิเศษ และ
2.
ผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการร้องขอต่อศาลให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ และ
3. ศาลได้มีคำสั่งให้บุคคลนั้นเป็นคนสาบสูญ
เหตุที่จะขอศาลให้มีคำสั่งให้บุคคลใดเป็นคนสาบสูญนั้นมี 2
กรณี คือ
กรณีธรรมดา
หมายถึงบุคคลนั้นได้จากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่โดยไม่มีผู้ใดพบเห็น
หรือทราบข่าวคราวเป็นเวลาติดต่อกันห้าปีแล้ว เช่น
นายสุเทพ
หายไปจากบ้านซึ่งเป็นภูมิลำเนาโดยไม่มีผู้ใดพบเห็นหรือทราบข่าวคราวเลยเป็นเวลาติดต่อกันห้าปี
ภริยาของนายสุเทพหรือทายาทคนหนึ่งคนใดซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือพนักงานอัยการก็มีสิทธิยื่นคำร้องขอต่อศาล เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้นายสุเทพเป็นคนสาบสูญ
กรณีพิเศษ หมายถึงบุคคลนั้นได้ไปตกอยู่ในภยันตรายแก่ชีวิต เช่น
ในสมรภูมิแห่งสงครามหรือในเรือเมื่ออับปราง หรือไฟไหม้
เป็นต้น
หากนับเวลาตั้งแต่ภยันตรายแก่ชีวิตนั้นได้สิ้นสุดลงเป็นเวลาผ่านพ้นไปสองปียังไม่ทราบว่าบุคคลนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เช่น
สิบเอกสมชายไปสงครามที่ชายแดนเมื่อสงครามสงบแล้วปรากฏว่าสิบเอกสามชายไม่กลับมาด้วยเวลาได้ผ่านพ้นไปสองปีก็ไม่รู้ว่ามีชิวิตอยู่หรือไม่ ภริยาของสิบเอกสมชายหรือทายาทคนใดคนหนึ่ง
ซึ่งเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือพยักงานอัยการมีสิทธิ์ยื่นคำร้องขอต่อศาล
เพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งให้สิบเอกสมชายเป็นคนสาบสูญสำหรับในกรณีพิเศษนี้
สำหรับเรื่องเวลาเริ่มต้นของการสาบสูญมีปัญหาว่ามีผลบังคับแต่เมื่อใดซึ่งในเรื่องนี้ป.พ.พ. มาตรา 62
บัญญัติว่า “บุคคลซึ่งศาลได้มีคำสั่งให้เป็นคนสาบสูญให้ถือว่าถึงแก่ความตายเมื่อครบกำหนดระยะเวลาดังกล่าวที่ระบุไว้ในมาตรา 61 “กล่าวคือ การสาบสูญจะเริ่มต้นมีผลเมื่อครบกำหนดห้าปีในกรณีธรรมดา
หรือสองปีในกรณีพิเศษซึ่งไม่ใช่เริ่มต้นนับแต่วันมีคำสั่งศาลหรือนับแต่วันโฆษณาคำสั่งศาลในราชกิจจานุเบกษา
เมื่อศาลได้มีคำสั่งให้บุคคลใดเป็นคนสาบสูญแล้ว มีผลเท่ากับว่าบุคคลนั้นได้ถึงแก่ความตาย ป.พ.พ. มาตรา 62 บัญญัติว่า “บุคคลซึ่งศาลได้มีคำสั่งให้คนสาบสูญให้ถือว่าถึงแก่ความตาย...” ดังนั้นเมื่อถือว่าคนสาบสูญถึงแก่ความตายหมายถึงการสิ้นสภาพบุคคล
ฉะนั้นผลที่ใช้บังคับในกรณีที่มีการตายธรรมดาจึงนำมาใช้บังคับในกรณีคนสาบสูญด้วย เช่น
ทรัพย์มรดกตกทอดแก่ทายาทเว้นแต่ในบางเรื่องผลอาจแตกต่างจากการตายธรรมดา เช่น
คำสั่งศาลให้บุคคลเป็นคนสาบสูญไม่ทำห้ากรสมรสขาดจากกันถ้าฝ่ายที่ยังอยู่จะทากรสมรสใหม่ต้องนำคำสั่งสาบสูญไปเป็นหลักฐานในการฟ้งหย่าตาม ป.พ.พ.
มาตรา 1516 (5)
หากต่อมาพิสูจน์ได้ว่าบุคคลที่สาบสูญนั้นยังคงมีชีวิตอยู่ หรือว่าได้ถึงแก่ความตายแล้วแต่ตายในเวลาอื่นผิดไปจากเวลาที่กฎหมายกำหนดสันนิษฐานไว้ คือ
5 ปีในกรณีธรรมดาหรือ 2
ปีในกรณีพิเศษ
เมื่อบุคคลผู้นั้นเองหรือผู้ใดผู้หนึ่งมีส่วนได้เสีย
หรือพนักงานอัยการร้องขอต่อศาลศาลจะต้องถอนคำสั่งแสดงความสาบสูญ นั้นแต่การถอนคำสั่งนี้ย่อมไม่กระทบกระทั่งถึงความสมบูรณ์แห่งการทั้งหลายอันได้ทำไปโดยสุจริตในระหว่างเวลาตั้งแต่ศาลมีคำสั่ง แสดงความสาบสูญจนถึงเวลาถอนคำสั่งนั้น แต่อย่างหนึ่งอย่างใด (ป.พ.พ
มาตรา 63) เช่น ก. ได้บ้านมา
2 หลังโดยทางมรดกของ ข. คนสาบสูญ ต่อมา
ข. กลับมาและศาลถอนคำสั่งสาบสูญ เช่นนี้
ก. ต้องคืนบ้านทั้งสองหลังให้ ข.
แต่ถ้า ก ได้ขายบ้านหลังหนึ่งให้แก่ ค. โดยสุจริตคือไม่ทราบความจริงว่า ข.
ยังมีชีวิตอยู่
ดังนี้สัญญาซื้อขายบ้านระหว่าง ก.
กับ ค. มีผลสมบูรณ์ ข.
จะขอเพิกถอนสัญญาซื้อขาย
เพื่อเรียกเอาบ้านหลังนั้นคืนไม่ได้
คำสั่งศาลแสดงสาบสูญหรือคำสั่งถอนคำสั่งแสดงความสาบสูญต้องโฆษณาในราชกิจจานุเบกษา เพราะเป็นคำสั่งเกี่ยวกับสถานะของบุคคล มีความสำคัญต้องประกาศในเอกสารของทางราชการ
(ป.พ.พ. มาตรา 64)
ผลในทางกฎหมายของการเริ่มสภาพบุคคล และการสิ้นสุดสภาพบุคคล มีกรณีที่ควรพิจารณาบางประการดังต่อไปนี้
ทางแพ่ง การรู้สภาพบุคคลเกิดขึ้นเมื่อใดก็เพื่อวินิจฉัยถึงสิทธิและหน้าที่ของบุคคลนั้นรวมทั้งสิทธิหน้าที่และความรับผิดที่เกี่ยวโยงและผูกพันถึงบุคคลอื่นด้วยเพราะสิทธิของบุคคลจะมีขึ้นตั้งแต่เกิดมามีชีวิตรอกอยู่คือเริ่มมีสภาพบุคคลหรืออาจย้อนขึ้นไปจนถึงวันที่ปฏิสนธิในครรภ์มารดาเช่น สิทธิในการเป็นทายาทรับมรดก ตาม ป.พ.พ.มาตรา 1604
ที่บัญญัติว่า “บุคคลธรรมดาจะเป็นทายาทได้ก็ต่อเมื่อมีสภาพบุคคล หรือสามารถมีสิทธิตามาตรา 15
แห่งประมวลกฎหมายนี้ในเวลาที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย...”
ส่วนการตายทำให้สิทธิและหน้าที่ของบุคคลสิ้นสุดลง และทรัพย์ของบุคคลนั้นตกทอดแก่ทายาท (ป.พ.พ.
มาตรา 1599)
การพิจารณาว่ากองมรดกผู้ตายมีทรัพย์สินอะไรบ้างและมีสิทธิหน้าที่และมีนสิทธิหน้าที่และความรับผิดอย่างไร กับการพิจารณาหาทายาทในการรับมรดก กฎหมายให้พิจารณาในเวลาที่เจ้ามรดกถึงแก่ความตาย ดังนั้นการรู้วันเกิด วันตายของบุคคลจึงมีความสำคัญ
ทางอาญา
การวินิจฉัยความรับผิดในทางอาญาของผู้กระทำความผิดต่อทารกที่คลอดออกมาจากครรภ์มารดาว่าจะเป็นความผิดฐานฆ่าคนตาย ตาม ป.อาญามาตรา 288 หรือความผิดฐานทำให้แท้งลูก ตาม ป.
อาญา มาตรา 301
ถึงมาตรา 305
จำเป็นต้องวินิจฉัยเสียก่อนว่าทารกมีสภาพบุคคลแล้วหรือไม่ กล่าวคือ
องค์ประกอบความผิดฐานฆ่าคนตายนั้นผู้ถูกกระทำต้องเป็นบุคคลธรรมดาคือ
ทารกต้องมีสภาพบุคคลก่อนแล้วผู้ที่กระทำให้ทารกนั้นถึงแก่ความตายจึงจะมีความผิดฐานฆ่าคนตายถ้าระหว่างที่ทารกอยู่ในครรภ์มารดา
ยังไม่เกิดมารอดอยู่จึงยังไม่เป็นบุคคลที่จะถูกฆ่าได้
หรือทารกที่ตายก่อนคลอดหรือตายระหว่างคลอด
เป็นการคลอดออกมาโดยไม่มีชีวิตไม่มีสภาพบุคคลจึงไม่เป้ฯบุคคลที่จะถูกฆ่าได้เช่นกัน ดังนั้น
ผู้ที่ทำให้ทารกตายก่อนคลอดหรือตายขณะคลอด
ซึ่งทารกยังไม่มีสภาพเป้ฯบุคคลจึงไม่มีความผิดฐานฆ่าคนตาย แต่อาจมีความผิดทำให้แท้งลูกตาม ป. อาญา มาตรา
301 ถึงมาตรา 305 ซึ่งมีโทษน้อยกว่าความผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาในทางตรงกันข้ามถ้าทารกคลอดแล้วมีชีวิตอยู่รอด แม้ว่าจะมีชีวิตอยู่เพียงชั่วขณะเดียวก็จะมีสภาพบุคคล ผู้ที่ทำให้ทารกตายอาจมีความผิดฐานฆ่าคนตายได้
อนึ่ง เมื่อบุคคลตายแล้ว สิ้นสภาพบุคคลกลายเป็นศพ
ก็ไม่เป็นบุคคลที่จะถูกฆ่าได้อีกเช่นเดียวกัน ผู้ที่ประทุษร้ายต่อศพย่อมไม่มีความผิดฐานฆ่าคนตาย ตัวอย่าง
นายเขียวใช้มีดปลายแหลมแทงนายดำ
ซึ่งตายมาแล้ว 2 วันทำให้ศพนั้นเละ เช่นนี่นายเขียวย่อมไม่มีความผิดฐานฆ่าคนตายตาม
ป. อาญา มาตรา 288
นิติกรรมคืออะไร
1. ความหมายของนิติกรรม
นิติกรรม
หมายความว่าการใด ๆ อันทำลงโดยชอบด้วยกฎหมายและด้วยใจสมัคร มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล เพื่อจะก่อ
เปลี่ยนแปลง โอน สงวน
หรือระงับซึ่งสิทธิ
2. ลักษณะของนิติกรรม
ลักษณะสำคัญของนิติกรรมมีดังนี้
2.1
เป็นการกระทำของบุคคลโดยมีการแสดงเจตนา
เฉพาะบุคคลเท่านั้นที่จะแสดงเจตนาได้
อาจจะเป็นบุคคลธรรมดา
หรือนิติบุคคลก็ได้
ตัวอย่าง
เช่น จากภาพยนตร์โฆษณา
ที่เห็นสุนัขคาบเงินมาซื้ออาหารไม่ถือเป็นนิติกรรมเพราะสุนัขไม่ใช่บุคคลตามกฎหมาย
การแสดงเจตนาคือการทำด้วยประการใด ๆ
ให้ปรากฏออกมาเป็นที่เข้าใจได้ถึงเจตนาภายในอันต้องการของบุคคล โดยที่เจตนาภายในของผู้ต้องการกระทำนิติกรรมเป็นสิ่งซึ่งไม่อาจมีผู้ใดล่วงรู้ได้ ดังนั้นการมีเจตนาอยู่ในจิตใจของบุคคลใด ๆ
จึงไม่เกิดผลในกฎหมายแต่อย่างใด
ถ้าประสงค์จะให้เกิดผลในกฎหมาย
บุคคลนั้นต้องแสดงเจตนาออกมาให้ปรากฏ
การแสดงเจตนาอาจกระทำได้ไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ
เช่น โดยวาจาหรือลายลักษณ์อักษร
หรือแม้โดยการแสดงอากัปกิริยาอาการซึ่งทำให้ปรากฏออกมาให้เป้ฯที่เจ้าใจได้ถึงเจตนาภายในของบุคคลที่แสดงนั้น
ตัวอย่าง
1.
นายกุ๊กต้องการซื้อระจักรยานจากนายไข่
มีการต่อรองราคาและตกลงซื้อ
ถือเป็นการแสดงเจตนาซื้อจักรยานด้วยวาจาแล้ว
2. นายจันทร์เดินไปหยิบหนังสือพิมพ์บนแผงหนังสือโดยไม่พูดจาอะไร แล้ววางเงินแปดบาทบนโต๊ะ
ถือเป็นการแสดงเจตนาโดยมีท่าทางหรืออากัปกิริยาในการซื้อหนังสือพิมพ์แล้ว
3.
นายสมเดชรับหนังสือพิมพ์ไทราชติดต่อกันเป็นเวลานาน
เมื่อหมดอายุสมาชิกสำนักพิมพ์ยังคงส่งมาให้เช่นเดิม โดยนายสมเดชไม่ส่งคืน
ถือเป็นการแสดงเจตนารับหนังสือพิมพ์ต่ออย่างหนึ่ง
2.2 ต้องเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย
ตัวอย่าง
เช่น นายดำทำนิติกรรมเสนอขอซื้อปากกาของนายแดงโดยตกลงกันว่า
ถ้านายแดงจะสอนงตอบให้ตบหน้านายเขียว
1 ครั้ง แม้นายแดงจะตบหน้านายเขียวแล้วก็ตาม การตบหน้าเป้ฯการกระทำละเมิด ไม่ถือเป็นการกระทำที่ชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่ถือว่าเป็นนิติกรรม
2.3 ต้องเป็นการกระทำด้วยใจสมัคร ไม่มีบุคคลใดมาหลอกลวงหรือข่มขู่
หรือสำคัญผิดให้ผู้กระทำนิติกรรมนอกเหนือจากความต้องการแล้วยังอาจรวมถึงการกระทำที่ขาดเจตนา เช่น
กระทำในขณะปราศจากความรู้สึกตัว
หรือละเมอไม่ได้สติหรือคนวิกลจริต
หรือเด็กไร้เดียงสาได้กระทำการใดไปก็น่าจะถือว่าเป็นการแสดงเจตนาโดยปราศจากใจสมัครด้วย
ตัวอย่าง
1 จับมือผู้ป่วยมีสติไม่ปกติ
พูดจาไม่รู้เรื่องให้พิมพ์ลายนิ้วมือ
หรือจับมือให้เซ็นในใบมอบอำนาจ
เป็นการกระทำที่ขาดเจตนาที่เรียกว่าไม่สมัครใจทำ ไม่เป็นนิติกรรม
2
นายเขียวนอนหลับละเมอเซ็นเช็คไม่ถือเป็นการทำโดยสมัครใจ จึงไม่ใช่นิติกรรม
2.4
ต้องเป็นการกระทำที่มุ่งโดยตรงที่จะให้เกิดผลในทางกฎหมายขึ้นระหว่างบุคคล ดังนั้นกรพูดจาล้อเล่น การแสดงอัธยาศัยไมตรีทางสังคมคำปรารภ หรือการเชื้อเชิญ เป็นต้น
ไม่ถือเป็นนิติกรรม
ตัวอย่าง
เช่น
นายแดงนัดกับนายเขียวว่าหลังสอบเสร็จจะเลี้ยงข้าวและหนัง ไม่ถือเป็นนิติกรรม
2.5 ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวในสิทธิ เพื่อก่อสิทธิ เปลี่ยนแปลงสิทธิโอนสิทธิ
สงวนสิทธิ หรือระงับสิทธินั้น
ตัวอย่าง
1. นายแดงทำสัญญาให้นายขาวเช่าบ้าน ก่อให้เกิดสิทธิตามสัญญาเช่า
ผู้ให้เช่าต้องให้ผู้เช่าใช้ประโยชน์ในบ้านที่ตกลงเช่า
หรือผู้เช่าต้องจ่ายค่าเช่าให้แก่ผู้ให้เช่า เป็นต้น
2. นายชมพูขายม้าให้แก่นายส้ม
ทำให้กรรมสิทธิ์ในตัวม้าย่อมโอนจากนายชมพูไปยังนายส้ม
3. นายคำเป็นเจ้าหนี้นายเหลือง
100,000 บาท และเข้าทำสัญญาจำนองกับนายเหลือง
หรือโดยมีนายฟ้าเป็นผู้รับประกันนายเหลืองในการที่จะใช้เงินที่ค้างชำระ การที่ได้กระทำลงทั้งนี้เพื่อสงวนสิทธิของนายดำ
4. นายเขียวกู้ยืมเงินนายม่วง
เมื่อหนี้ถึงกำหนดนายเขียวนำเงินต้นและดอกเบี้ยไปชำระ เมื่อนายม่วงได้รับชำระหนี้แล้ว หนี้เงินกู้เป็นอันระงับสิ้นไป
นายม่วงจะเรียกให้นายเขียวชำระหนี้เงินกู้ยืมอีกไม่ได้
3. แบบของนิติกรรม
แบบของนิติกรรมหรือกรอบพิธีภายนอกของนิติกรรมนั้น
โดยหลักแล้วแม้นิติกรรมจะสมบูรณ์เมื่อมีการแสดงเจตนาก็ตาม แต่การแสดงเจตนาอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ
ต้องทำตามแบบหรือกรอบพิธีภายนอกของนิติกรรมเสียก่อน มิฉะนั้นมีผลเป็นโมฆะ
กล่าวโดยสรุป แบบของนิติกรรม
หมายถึงวิธีการหรือพิธีการที่กฎหมายกำหนดและบังคับให้ผู้แสดงเจตนาทำนิติกรรมต้องปฏิบัติตาม เพื่อความสมบูรณ์ของนิติกรรมที่ทำ
อย่างไรก็ตามกฎหมายไม่ได้กำหนดแบบนิติกรรมในทุกเรื่อง หากนิติกรรมใดกฎหมายไม่ได้กำหนดแบบไว้ นิติกรรมนั้นอาจสมบูรณ์ได้เพียงการแสดงเจตนา
ตัวอย่าง
เช่นต้องการซื้อข้าวผัด 1 ห่อ
เพียงสั่งข้าวผัดและคนขายผัดข้าวผัดส่งให้
เป็นการแสดงเจตนาด้วยวาจา
เพียงเท่านี้นิติกรรมซื้อขายข้าวผัดก็เกิดแล้ว กฎหมายไม่ได้กำหนดแบบของนิติกรรม
แบบของนิติกรรมที่กฎหมายกำหนดไว้นั้น สามารถแยกเป็น 4
ประเภทดังนี้
3.1
แบบที่ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพบนักงานเจ้าหน้าที่เช่น สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ หรือสังหาริมทรัพย์พิเศษซึ่งได้แก่เรือกำปั่นหรือเรือที่มีระวางตั้งแต่ 6
ตันขึ้นไป
เรือยนต์หรือเรือกลไฟมีระวางตั้งแต่
5 ตันขึ้นไป แพและสัตว์พาหนะ แลกเปลี่ยน ให้ จำนอง
เป็นต้น
กฎหมายบังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
ตัวอย่าง
เช่น
นายประสงค์ตกลงซื้อบ้านของนายประสิทธิ์
โดยมีการชำระราคาและส่งมอบบ้านให้เข้าอยู่อาศัย เช่นนี้การซื้อขายบ้านตกเป็นโมฆะเพราะทำผิดแบบที่กฎหมายกำหนด
3.2
แบบที่ต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
แบบของนิติกรรมประเภทนี้กำหนดเพียงต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เท่านั้นไม่ได้บังคับว่าต้องทำเป็นหนังสือ เช่น
การจดทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัท
การจดทะเบียนสถานะของบุคคล ได้แก่การเกิด การตาย
การสมรส การหย่า การรับรองบุตร
การรับบุตรบุญธรรม
กฎหมายกำหนดให้ต้องไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
ตัวอย่าง
เช่น
นายศักดิ์แต่งงานกับนางสาวศรี
โดยจัดงานที่โรงแรมอย่างใหญ่โต
ไม่ถือเป็นการสมรส
เพราะการสมรสต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เท่านั้น
3.3
แบบที่ต้องทำเป็นหนังสือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
เช่น
การทำพินัยกรรมแบบเอกสารฝ่ายเมืองหรือแบบลับ
ตัวอย่าง
เช่น
นายไก่ต้องการพินัยกรรมแบบเอกสารลับ
โดยเขียนพินัยกรรม และผนึกพินัยกรรมพร้อมลงลายมือชื่อคาบรอยผนึก และต้องนำไปแสดงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
3.4
แบบที่ต้องทำเป็นหนังสือ
กล่าวคือต้องลงลายมือชื่อในหนังสือที่ทำนิติกรรม หนังสือนั้นจะทำเป็นภาษาต่างประเทศก็ได้ จะเขียนเองหรือพิมพ์ก็ได้
ส่วนลายมือชื่อนั้น หากคู่กรณีต้องการใช้พิมพ์นิ้วมือ หรือเป็นแกงไดตราประทับ
หรือเครื่องหมายอื่นทำนองเช่นว่านั้นแทนการลงลายมือชื่อ
หากมีพยานลงลายมือชื่อรับรองไว้ด้วยสองคนให้ถือเสมือนกับลงลายมือชื่อ
นิติกรรมที่ต้องทำเป็นหนังสือ
เช่น สัญญาเช่าซื้อ
หรือการทำพินัยกรรมแบบธรรมดา เป็นต้น
ตัวอย่าง
นายแดงต้องการเช่าซื้อโทรทัศน์ราคา 6,000
บาท ไม่ได้ทำเป็นหนังสือ สัญญาเช่าซื้อนั้นตกเป็นโมฆะ
ข้อสังเกต
ส่วนการส่งมอบ
เป็นเพียงเงื่อนไขหนึ่งของนิติกรรมที่ทำให้นิติกรรมนั้นสมบูรณ์ ไม่ถือเป็นแบบที่ทำให้นิติกรรมเป็นโมฆะ
ตัวอย่าง
เช่น ในสัญญาหมั้นต้องมีการส่งมอบของหมั่นให้แก่กัน
แม้ไม่ส่งมอบของหมั่นก็ไม่ทำให้สัญญาหมั้นตกเป็นโมฆะแต่อย่างใด เพราะไม่ใช่แบบของการหมั่น แต่จะทำให้สัญญาหมั้นไม่สมบูรณ์เท่านั้น
4.
ความสามารถของบุคคลในการทำนิติกรรม
บุคคล
หมายถึง
สิ่งที่สามารถมีสิทธิและหน้าที่ได้ตามกฎหมาย ดังนั้นโดยหลักแล้วบุคคลย่อมมีความสามารถในการทำนิติกรรมได้ทั้งสิ้น เว้นแต่บุคคลนั้นจะเป็นผู้หย่อนความสามารถหรือกฎหมายจำกัดความสามารถในการทำนิติกรรมไว้
ทั้งนี้เพื่อช่วยเหลือคุ้มครองผลประโยชน์ของบุคลเหล่านั้น
ผู้หย่อนความสามารถ หมายถึงบุคคลดังต่อไปนี้
4.1 ผู้เยาว์
หมายถึง
บุคคลซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะตามกฎหมาย
ซึ่งบุคคลจะบรรลุนิติภาวะได้
มีเงื่อนไขดังนี้
ก. อายุครบ 20
ปีบริบูรณ์
ข.
ทำการสมรสโดยชอบด้วยกฎหมาย
ซึ่งการสมรสตามกฎหมายนั้นจะทำได้เมื่อชายและหญิงมีอายุ 17
ปีบริบูรณ์ โดยได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมของทั้งสองฝ่าย หรือหากมีอายุน้อยกว่า 17
ปี หากมีเหตุสมควรและมีดุลพินิจของศาลอนุญาตให้สมรสได้
บุคคลดังกล่าวนั้นจะกลายเป็นบุคคลผู้บรรลุนิติภาวะตามกฎหมาย แม้ต่อมาหย่าขาดจากกันขณะอายุยังไม่ถึง 20 ปี ก็ยังคงเป็นบุคคลผู้บรรลุนิติภาวะเช่นเดิม
ตัวอย่าง
เช่น นางสาวเดือนอายุ 16 ปี
ตั้งครรภ์
หากศาลมีดุลพินิจเห็นควรอนุญาตให้นางสาวเดือนสมรสกับนายเด่นได้
เช่นนี้นางสาวเดือนถือเป็นบุคคลผู้บรรลุนิติภาวะแล้ว
การทำนิติกรรมของผู้เยาว์ ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมเสียก่อน หาฝ่าฝืนนิติกรรมตกเป็นโมฆียะ
ตัวอย่าง เช่น นายเล็กอายุ 15
ปี ไปซื้อมอเตอร์ไซด์ ราคา 50,000
บาท
นิติกรรมที่นายเล็กซึ่งเป็นผู้เยาว์ซื้อมอเตอร์ไซด์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม มีผลเป็นโมฆียะ
มีข้อยกเว้นซึ่งผู้เยาว์สามารถทำได้โดยลำพังโดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม
มี 3 กรณี ดังนี้
1)
นิติกรรมที่ทำให้ผู้เยาว์ได้สิทธิ
หรือหลุดพันจากหน้าที่
ถือเป็นนิติกรรมที่ได้ประโยชน์แก่ผู้เยาว์แต่ฝ่ายเดียว เช่น การรับทรัพย์ที่มีผู้ยกให้โดยเสน่หา การรับมรดกโดยไม่มีภาระติดพันหรือมีเงื่อนไขใด
ๆ และการปลดหนี้ให้แก่ลูกหนี้ ซึ่งเป็นผู้เยาว์ เป็นต้น
ตัวอย่าง
เช่น
ยายของเด็กชายนิดยกที่ดินให้เด็กชายนิดซึ่งเป็นหลานโดยทำใบมอบอำนาจให้หลานไปทำนิติกรรมแทน แม้เด็กชายนิดจะยังไม่บรรลุนิติภาวะก็เป็นผู้รับมอบอำนาจได้
ถือเป็นเรื่องที่ผู้เยาว์สามารถทำได้ด้วยตนเองโดยลำพัง
2)
นิติกรรมที่เป็นเรื่องเฉพาะตัวของผู้เยาว์
โดยความสมัครใจของผู้เยาว์ผู้แทนโดยชอบธรรมจะแสดงเจตนาแทนไม่ได้ เช่น
การทำพินัยกรรมการรับรองบุตรเพื่อเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้เยาว์ เป็นต้น
ตัวอย่าง
1. นายไก่
อายุ 16 ปี
มีบุตรชื่อเด็กชายไข่
นายไก่ต้องการรับรองบุตรเพื่อให้เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของตน แม้บิดามารดาของนายไก่ไม่ยินยอม
ถือเป็นเรื่องที่นายไก่ผู้เยาว์สามารถทำได้โดยลำพัง
2. นายขวดอายุ 15 ปี ต้องการทำพินัยกรรมเพื่อยกทรัพย์สินของตนให้นางสาวฉิ่งเผื่อตนเองตาย ถือเป็นเรื่องเฉพาะตัวที่ผู้เยาว์ทำได้
แต่กฎหมายกำหนดให้การทำพินัยกรรมจะทำได้ต้องอายุ 15 ปีบริบูรณ์
หากอายุไม่ถึง 15 ปี พินัยกรรมมีผลเป็นโมฆะ
3) นิติกรรมที่จำเป็นเพื่อการเลี้ยงชีพ และสมแก่ฐานะของผู้เยาว์ได้แก่การซื้ออาหารรับประทาน การซื้อของใช้ที่จำเป็น เป็นต้น
ตัวอย่าง
เช่น เด็กชายแก่นอายุ 14 ปี
ซื้อข้าวผัดเพื่อรับประทาน
ถือว่าเป็นนิติกรรมเพื่อการเลี้ยงชีพ
สามารถทำได้โดยลำพัง
แต่หากเด็กชายแก่นจัดงานเลี้ยงเพื่อนฝูงหรือรับประทานอาหารในโรงแรมห้าดาว เป็นเงิน 30,000 บาท
เช่นนี้ไม่ถือเป็นการกระทำอันสมควรแม้เพื่อการเลี้ยงชีพแต่ไม่สมแก่ฐานะของผู้เยาว์
ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมเสียก่อน
ปัญหาสำคัญอยู่ที่ว่า
ฐานานุรูปความจำเป็นและสมควรเหล่านี้จะถือเอาตามที่เป็นจริงหรือตามที่บุคคลผู้ทำการติดต่อเกี่ยวกับผู้เยาว์เข้าใจเอาเองซึ่งกรณีนี้ศาลอังกฤษตัดสินถือเอาตามความเป็นจริง
ถ้าผู้เยาว์มีของใช้จำเป็นอยู่เพียงพอแล้วยังไปทำนิติกรรมจับจ่ายเกินจำเป็น แม้ผู้ขายของให้จะไม่รู้ก็ไม่ผูกพันผู้เยาว์
การที่ทำไปนั้นตกเป็นโมฆียะ ตามตัวบทของกฎหมายไทยยังไม่เห็นมีทางที่จะแปลไปได้เป็นอย่างอื่น
ฐานะของผู้เยาว์ในเรื่องการทำนิติกรรมจึงออกจะตกหนักแก่พ่อค้าอยู่มาก เพราะไม่มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาแสดงฐานะ
แต่มีนิติกรรมบางอย่างที่กระทบกระเทือนถึงผลประโยชน์ของผู้เยาว์ซึ่งกฎหมายเห็นเป็นเรื่องสำคัญ ผู้เยาว์ทำโดยลำพังไม่ได้
แม้ผู้แทนโดยชอบธรรมจะให้ความยินยอมก็ทำไม่ได้
ต้องให้ศาลเข้ามาควบคุมการทำนิติกรรมของผู้เยาว์ มีนิติกรรมดังนี้เช่น ขาย
แลกเปลี่ยน จำนอง ขายฝาก
ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินกว่า
3 ปี ให้เช่าซื้ออสังหาริมทรัพย์ หรือให้กู้ยืมเงินเป็นต้น ซึ่งเรื่องเหล่านี้ต้องให้ศาลอนุญาตก่อน
ตัวอย่าง
เช่น นายใหญ่ และนางน้อย
ยกบ้านของตนให้กับเด็กชายเยี่ยม อายุ
3 ขวบ
ต่อมาครอบครัวมีปัญหาทางการเงินต้องการขายบ้านหลังดังกล่าวของเด็กชายเยี่ยม การขายบ้านทำไม่ได้แม้บิดามารดาจะยินยอมหรือจะอ้างความจำเป็นทางเศรษฐกิจเพื่อขายบ้านของเด็กชายเยี่ยมไม่ได้ ต้องให้ศาลอนุญาตเท่านั้น
4.2
คนไร้ความสามารถ หมายถึง คนวิกลจริตที่ศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถ และตั้งผู้อนุบาลเป็นผู้ดูแลคนไร้ความสามารถ
การทำนิติกรรมของคนไร้ความสามารถนั้น
คนไร้ความสามารถจะทำนิติกรรมโดยลำพังไม่ได้
หรือทำโดยได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลไม่ได้มิฉะนั้นนิติกรรมจะตกเป็นโมฆียะ
ข้อสังเกต
กรณีของคนวิกลจริตที่ศาลไม่ได้สั่งให้คนไร้ความสามารถนั้น
เนื่องจากคนวิกลจริตนี้ไม่จำต้องมีสติรู้สึกผิดชอบอยู่ตลอดเวลา หากขณะทำนิติกรรมทำไปโดยรู้สึกผิดชอบ
ถึงแม้คู่กรณีอีกฝ่ายจะรู้ว่าเป็นบุคคลวิกลจริต นิติกรรมสมบูรณ์ใช้ได้
แต่หากขณะนิติกรรมทำไปโดยไม่รู้สึกผิดชอบและคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งรู้ว่าเป็นคนวิกลจริต นิติกรรมตกเป็นโมฆียะ
ตัวอย่าง
เช่น นายใจเป็นคนบ้า
เดินไปซื้อรถเก๋ง 1 คัน
ขณะซื้อรถเก๋งไม่ได้บ้าพูดคุยรู้เรื่อง
นิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์ แต่หากขณะที่นายใจมาซื้อรถมีอาการเป็นบ้าพูดคุยไม่รู้เรื่องเพียงแต่มีเงินซื้อรถเท่านั้น หากอีกฝ่ายหนึ่งรู้ว่าบ้ายังขายรถให้ นิติกรรมนั้นไม่ผลเป็นโมฆียะ
4.3 คนเสมือนไร้ความสามารถ หมายถึง
คนที่ไม่ถึงกับวิกลจริต
แต่มีเหตุบกพร่องบางประการไม่สามารถจัดการงานของตนได้ ศาลจึงตั้งผู้ดูแลคนเสมือนไร้ความสามารถ เรียกว่า
ผู้พิทักษ์
การทำนิติกรรม
โดยหลักคนเสมือนไร้ความสามารถทำนิติกรรมได้โดยลำพัง ไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์
แต่มีข้อยกเว้นในการทำนิติกรรมบางประเภทเท่านั้นที่กฎหมายกำหนดให้คนเสมือนไร้ความสามารถต้องได้รับความคุ้มครองและช่วยเหลือโดยต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์ หากฝ่าฝืนนิติกรรมตกเป็นโมฆียะ เช่น การกู้ยืมหรือให้กู้ยืมเงิน นำทรัพย์สินไปลงทุนการรับประกัน การให้โดยเสน่หา การเสนอคดีต่อศาล หรือการดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ เป็นต้น
ตัวอย่างเช่น
นายไก่เห็นว่านายไข่บุตรชายของตนซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว ติดสุรา
ชอบเล่นการพนัน
จนไม่สามารถจะจัดการเรื่องทรัพย์สินของตนเองได้ นายไก่อาจร้องขอต่อศาลให้สั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถและให้อยู่ในความพิทักษ์ของตนเองก็ได้
จากตัวอย่างข้างต้น
นายไข่ไม่สามารถขายบ้านของตนให้กับนายขวดไม่อาจยกแหวนเพชรราคา 50,000 บาทให้แก่นางสาวจาน ไม่อาจก่อสร้างบ้านใหม่ ซ่อมแซมหรือขยายบ้านเก่าให้ใหญ่ขึ้นได้ นอกจากจะต้องขอความยินยอมจากนายไก่ซึ่งเป็นผู้พิทักษ์เสียก่อน
4.4 คู่สมรส หมายความ
ถึงสามีภรรยาที่จดทะเบียนสมรสตามกฎหมายโดยหลักแล้วคู่สมรสฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดสามารถทำนิติกรรมโดยลำพังตนเองได้ไม่ต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมสรอีกฝ่ายหนึ่ง แต่มีข้อยกเว้นในการทำนิติกรรมบางประเภทเท่านั้นที่เกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินที่เป็นสินสมรส กฎหมายกำหนดให้การทำนิติกรรมนั้น ๆ
คู่สมรสโดยต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่งก่อน หากฝ่าฝืนนิติกรรมตกเป็นโมฆียะเช่น ขาย
แลก เปลี่ยน ขายฝาก
ให้เช่าซื้อ จำนอง ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินกว่า 3
ปี ให้กู้ยืมเงินให้โดยเสน่หา ประนีประนอมยอมความหรือมอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย เป็นต้น
ตัวอย่าง เช่น
นายชายเป็นสามีของนางหญิง
นายชายต้องการบ้านที่ตนอยู่ตามลำพัง
นิติกรรมนี้มีผลเป็นโมฆียะ
ต้องได้รับความยินยอมจากนางหญิงเสียก่อน
5. วัตถุประสงค์ของของนิติกรรม
หมายถึงประโยชน์อันเป็นผลสุดท้ายที่ผู้แสดงเจตนาทำนิติกรรมประสงค์จะให้เกิดหรือให้เป็นผลขึ้นมา เช่น
ทำสัญญาซื้อบ้านผู้ซื้อต้องการได้กรรมสิทธ์ในบ้านมาเป็นของตน ฝ่ายผู้ขายต้องการได้เงินจากการขายบ้าน เป็นต้น แต่หากนิติกรรมนั้นมีวัตถุประสงค์ไม่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว นิติกรรมเป็นโมฆะ
วัตถุประสงค์ของนิติกรรมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายมี 3
กรณีดังนี้
5.1
นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย กล่าวคือมีกฎหมายห้ามไว้ไม่ให้กระทำ เช่น
การซื้อขายยาเสพติด การจ้างฆ่าคน การติดสินบนเจ้าพนักงาน หรือการทำพินัยกรรมในกรณีที่อายุยังไม่ครบ 15
ปี เป็นต้น
5.2
นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการพ้นวิสัย
กล่าวคือสิ่งที่เป็นไปไม่ได้โดยแน่แท้
เช่น ทำสัญญาซื้อม้าชื่อสิรินภา แต่ม้าตัวดังกล่าวตายก่อนทำสัญญา ถือว่าสัญญาซื้อขายม้ามีวัตถุประสงค์เป็นการพ้นวิสัย
หรือทำสัญญาว่าจะย้ายดอกอินทนนท์มาไว้ที่กรุงเทพฯ
ถือเป็นเรื่องมีวัตถุประสงค์เป้ฯการพ้นวิสัยไม่อาจชำระหนี้ให้สำเร็จตามวัตถุประสงค์นั้นได้
5.3
นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศิลธรรมอันดีของประชาชน เช่น
รับจ้างเป็นชู้กับภรรยาของคนอื่น เป็นต้น
6. เจตนาของบุคคลในการทำนิติกรรม
ซึ่งโดยหลักทั่วไปของนิติกรรม
ต้องเป็นการกระทำของบุคคลโดยมีการแสดงเจตนา
การแสดงเจตนาจะมีผลสมบูรณ์เมื่อการแสดงเจตนากับการแสดงออกเหมือนกัน แต่ถ้าการแสดงออกไม่ตรงกับเจตนาที่แท้จริงที่มีอยู่ในใจอาจทำให้นิติกรรมนั้นมีผลเป็นโมฆะหรือโมฆียะได้แล้วแต่กรณี
ความบกพร่องของการแสดงเจตนาที่ทำให้นิติกรรมไม่สมบูรณ์มีดังนี้
6.1 การแสดงเจตนาซ่อนเร้น หมายถึงการแสดงเจตนาหลอก เพราะผู้แสดงเจตนาได้แสดงเจตนาออกมาเพียงหลอก
ๆ ไม่ต้องการให้มีผลผูกพันจริงจังดังที่แสดงออกมานั้น กล่าวคือปากกับใจไม่ตรงกัน
ผลของการแสดงเจตนาซ่อนเร้นนิติกรรมยังคงสมบูรณ์อยู่
คู่กรณีทั้งสองฝ่ายยังคงมีสิทธิและหน้าที่ตามนิติกรรมที่แสดงออกทุกอย่าง
เว้นแต่คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รู้ถึงเจตนาอันแท้จริงในใจ จึงจะทำให้นิติกรรมที่แสดงออกมานั้นตกเป็นโมฆะ
ตัวอย่าง เช่น นายไก่เสนอจะขายบ้านให้แก่นายไข่ ในราคา 1,000,000 บาท
จริง ๆ แล้วนายไก่ไม่มีเจตนาที่จะขายบ้านแต่มีเจตนาเพียงแต่จะยืมเงินแล้วจะใช้คืนในภายหลัง แต่นายไข่ไม่ทราบเจตนานั้น โดยมีเจตนาแท้จริงที่จะซื้อขายบ้านกับนายไก่ ภายหลังนายไก่จะค้านว่าสัญญานั้นเป็นโมฆะ
โดยอ้างเหตุว่าตนไม่เจตนาที่แท้จริงที่จะขายบ้านไม่ได้
แต่หากข้อเท็จจริงเปลี่ยนไป นายไข่รู้ว่านายไก่มีเจตนาจะยืมเงิน และการซื้อขายบ้านนั้นทำเพื่อลวงเท่านั้น มีผลให้สัญญาซื้อขายเป็นโมฆะ
6.2 การแสดงเจตนา หมายถึงคู่กรณีไม่มีเจตนาที่จะทำนิติกรรมกันจริง
ๆ แต่ทำขึ้นเพื่อหลอกบุคคลภายนอก นิติกรรมที่เกิดจากเจตนาลวงตกเป็นโมฆะ แต่ห้ามยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกที่สุจริต และต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้น
ตัวอย่าง เช่น
นายไก่ต้องการจะเป็นผู้จัดการธนาคาร
แต่ไม่มีทรัพย์สินเพื่อวางประกันในการเข้าทำงาน
นายไก่จึงสมรู้กับนายไข่ทำสัญญาขึ้นฉบับหนึ่งซึ่งนายไข่ลวงขายที่ด้นของตนให้กับนายไก่
เพื่อให้เป็นเจ้าของที่ดินแทนนายไข่แต่เพียงในนามเท่านั้น สัญญาซื้อขายนี้เป็นสัญญาลวง ตกเป็นโมฆะ
แต่หากนายขวดซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น
และเชื่อว่าที่ดินแปลงนั้นเป็นที่ดินของนายไก่
จึงให้นายไก่ยืมเงินไปโดยนายไก่นำที่ดินแปลงดังกล่าวจำนองไว้ นายไข่จะอ้างว่าสัญญาจำนองนั้นเป็นโมฆะ เพราะว่านายไก่ไม่ใช่เจ้าของที่แท้จริงไมได้
6.3 นิติกรรมอำพราง หมายถึงในระหว่างคู่กรณีจะมีการทำนิติกรรมขึ้นเป็น
2 ลักษณะ กล่าวคือ
นิติกรรมที่เกิดจากการแสดงเจตนาลวงที่ทำขึ้นเพื่อลวงผู้อื่นให้เข้าใจว่าคู่กรณีได้ตกลงทำนิติกรรมลักษณะนี้กัน และอีกลักษณะคือ
นิติกรรมที่ถูกอำพรางอันเป็นนิติกรรมที่แท้จริงของคู่กรณีที่ปกปิดอำพรางไว้ไม่เปิดเผยให้ผู้อื่นรู้
ดังนั้นในระหว่างคู่กรณีจะต้องบังคับตามนิติกรรมที่ถูกอำพรางนี้
ตัวอย่าง เช่น นายจันทร์กู้เงินนายอังคาร
โดยนายจันทร์มอบที่ดินให้นายอังคารเพื่อใช้ประโยชน์
แต่นายอังคารเกรงเจ้าหนี้คนอื่นของนายจันทร์จะยึดที่ดิน นายอังคารจึงให้นายจันทร์ทำสัญญาซื้อขายเพื่ออำพรางไว้ ดังนั้นสัญญาซื้อขายที่ดินจึงเป้ฯนิติกรรมอำพรางการกู้ยืมเงิน
เช่นนี้กฎหมายให้คู่กรณีบังคับตามนิติกรรมการกู้ยืมเงิน จะบังคับตามสัญญาซื้อขายที่เปิดเผยไมได้
แต่อย่างไรก็ตามนิติกรรมอำพรางนั้น จะต้องทำให้ถูกต้องตาม “แบบ” ที่กฎหมายบังคับไว้ด้วย
มิฉะนั้นนิติกรรมอำพรางนั้นย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น
โจทก์จดทะเบียนขายฝากที่ดินไว้กับจำเลยเป็นการอำพรางการจำนอง
นิติกรรมฉบับแรกคือสัญญาขายฝากเป็นนิติกรรมเปิดเผย ย่อมตกเป็นโมฆะ เพราะว่าเป็นการแสดงเจตนาลวง ส่วนนิติกรรมฉบับหลังคือสัญญาจำนองเป็นนิติกรรมอำพราง
ในระหว่างคู่สัญญาต้องบังคับตามนิติกรรมอำพราง
คือสัญญาจำนองแต่ว่าการจำนองไม่ได้จดทะเบียนให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายบังคับไว้
จึงเรียกไม่ได้ว่าเป็นการจำนองแต่เป็นเพียงการกู้เงินโดยอาศัยเอกสารการขายฝากที่ดินที่ทำกันไว้ ณ
สำนักงานที่ดินเป็นสัญญากู้เงิน
6.4 ความสำคัญผิด เป็นเรื่องการเข้าใจความจริงที่ไม่ถูกต้อง
กล่าวคือเหตุการณ์เป็นอย่างหนึ่งแต่เข้าใจว่าเป็นอีกอย่างหนึ่ง การสำคัญผิดที่ทำให้นิติกรรมไม่สมบูรณ์แบ่งได้เป็น
2 กรณีคือ
1)
สำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรม
เป็นการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสิ่งที่เป็นสาระสำคัญของนิติกรรมซึ่งมีผลทำให้นิติกรรมเป็นโมฆะ
ตัวอย่าง 1. นายเอกต้องการจำนองที่ดินแก่นายโท
แต่นายเอกอ่านหนังสือไม่ออกและเชื่อใจนายโท
นายโทจึงนำสัญญามาให้ลงชื่อโดยบอกว่าเป็นสัญญาจำนอง
แต่ความจริงเป็นสัญญาขายที่ดินหรือยกที่ดินให้นายโทหากมีการไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ตามสัญญาขายหรือสัญญาให้นิติกรรมนั้นถือเป็นการแสดงเจตนาทำนิติกรรมโดยสำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม ซึ่งเป็นโมฆะ
2.
นายหนึ่งส่งมอบนาฬิกาให้แก่นายสองโดยเจตนาจะฝากไว้ แต่นายสองสำคัญผิดว่านายหนึ่งให้โดยเสน่หา การให้ถือเป็นโมฆะ
3. นายเอกให้เงิน 10,000
บาทกับฝาแฝดชื่อนายใหญ่
ซึ่งนายเอกเชื่อว่าเป็นนายเล็กแฝดผู้น้อง
ถือเป็นการสำคัญผิดในตัวคู่กรณีที่เกี่ยวข้องในนิติกรรม การแสดงเจตนาของนายเอกเป็นโมฆะ
2)
สำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สิน เป็นความสำคัญผิดในมูลเหตุจูงใจให้ทำนิติกรรม ซึ่งหากเป้ฯการสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์นั้นเป้ฯสาระสำคัญ
จะมีผลในทางกฎหมายทำให้การแสดงเจตนานั้นเป็นโมฆียะ
ตัวอย่าง 1.
นายไก่สั่งให้นายไข่ปลูกบ้าน
โดยเชื่อว่านายไข่เป็นวิศวกร
และไม่เคยปลูกสร้างบ้านเรือนมาก่อน
นิติกรรมนี้มีผลเป็นโมฆียะ
เพราะสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคล
2. นายหนึ่งซื้อชามลายครามจากนายสอง โดยมีเจตนาจะซื้อชามกังใส
ปรากฏว่าชามใบนั้นเป็นของใหม่และทำปลอมขึ้นมา นิติกรรมนี้มีผลเป็นโมฆียะ เพราะสำคัญผิดในทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรม
6.5 การแสดงเจตนาเพราะเหตุกลฉ้อฉล กลฉ้อฉล
หมายถึง
การหลอกลวงให้เขาสำคัญผิด
ต่างกับสำคัญผิด
เนื่องจากสำคัญผิดเกิดขึ้นจากความนึกคิดของผู้แสดงเจตนาเอง
แต่กลฉ้อฉลเป็นเรื่องการสำคัญผิดซึ่งมิได้เกิดขึ้นจากความนึกคิดของผู้แสดงเจตนาเอง หากเป็นเพราะมีบุคคลอีกคนหนึ่งซึ่งอาจเป็นคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งหรือบุคคลภายนอกมาหลอกลวงให้สำคัญผิด ผลของการแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉลเป็นโมฆียะ
ตัวอย่าง 1.
นายใหญ่เป็นพ่อค้ารถมือสองซื้อรถเก่ามาทำสีใหม่และเปลี่ยนเครื่องมาแล้ว ขายรถให้แก่นายเล็กโดยบอกว่าเป็นรถใหม่ ถือเป็นกลฉ้อฉล และการแสดงเจตนาของนายเล็กเป็นโมฆียะ
2. นายจิมขายม้าให้กับนายจอน โดยหลอกว่าม้ามีอายุ 3 ปี
แต่ความจริงม้าตัวนั้นมีอายุ 10 ปี
ถือเป็นกลฉ้อฉล ทำให้สัญญาซื้อขายม้าเป็นโมฆียะ
แต่หากกลฉ้อฉลซึ่งคู่กรณีทั้งสองฝ่าย โดยต่างฝ่ายต่างทำการฉ้อฉลด้วยกัน ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดจะหยิบยกเอกกลฉ้อฉลนั้นขึ้นมาบอกล้างนิติกรรม หรือเรียกค่าสินไหมทดแทนไม่ได้
ตัวอย่าง เช่น
นายไก่จูงใจให้นายไข่ซื้อห้องเย็นของตนโดยแจ้งว่าทันสมัยรักษาความเย็นได้ดีมากแต่โดยความเป็นจริงมีขนาดเล็กและเครื่องเสียใช้การไม่ได้ ส่วนนายไข่ได้ปลอมหนังสือมอบอำนาจจากบริษัทมาเพื่อซื้อห้องเย็นนั้น
ซึ่งทั้งนายไก่และนายไข่กระทำการด้วยกลฉ้อฉลทั้งคู่
จะบอกล้างหรือเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในภายหลังไม่ได้
6.6
จากแสดงเจตนาเพราะเหตุข่มขู่
การข่มขู่ หมายถึง
การทำให้กลัวภัยอันใดอันหนึ่ง
เพื่อให้เขาทำนิติกรรม
ถ้าหากไม่ทำตามที่บอกจะได้รับภัยแต่หากการข่มขู่นั้นทำให้อีกฝ่ายหนึ่งกลัวเพราะเป็นสิทธิตามกฎหมาย หรือเพราะความนับถือยำเกรง
ไม่ถือเป็นการข่มขู่ เช่น ขู่ว่าจะฟ้องคดี
ขู่ว่าจะบอกเลิกสัญญาหรือเป็นความสัมพันธ์ที่ต้องเคารพยำเกรง เช่น
ลูกกับพ่อ ศิษย์กับอาจารย์ กรณีเหล่านี้ไม่ใช่การข่มขู่
ผลของการแสดงเจตนาเพราะเหตุข่มขู่มีผลเป็นโมฆียะ
ตัวอย่าง เช่นนายสมเดชขอยืมเงินนางน้อย 1,000,000
บาท
โดยขู่ว่าถ้าไม่ให้จะเอาไฟเผาบ้าน
การแสดงเจตนาเพราะเหตุข่มขู่มีผลเป็นโมฆียะ
หรือจากตัวอย่างข้างต้น นายสมเดชขู่บิดาหรือสามีของนางน้อยก็ถือเป็นการข่มขู่ซึ่งมีผลเช่นเดียวกัน
ตัวอย่าง เช่น นายไก่เป็นเจ้าหนี้นายไข่
เมื่อถึงเวลาชำระหนี้นายไข่ขอผัดผ่อนการชำระหนี้
แต่นายไก่ไม่ยอมและขู่ว่าจะฟ้องร้องเรียกเงินที่ค้างชำระและจะยึดทรัพย์สินของนายไข่ เช่นนี้ไม่ถือเป็นการข่มขู่
7. นิติกรรมที่เป็นโมฆะ
นิติกรรมที่เป็นโมฆะ
ถือเป็นความไม่สมบูรณ์ของนิติกรรมประเภทหนึ่งคำว่า “โมฆะกรรม” หมายถึง
นิติกรรมใดหรือการกระทำใดที่กระทำลงไปนั้นเป็นการเสียเปล่าไม่มีผลตามกฎหมาย
ในสายตาของกฎหมายเท่ากับว่าไม่ได้ทำกิจการนั้นเลย แม้จะแสดงเจตนาผูกพันกันประการใดก็ตาม สิทธิและหน้าที่ที่ผู้กระทำนิติกรรมหรือการดังกล่าวประสงค์ให้เกิดผลก็หาเกิดความผูกพันตามกฎหมายไม่
การเสียเปล่านี้มีมาแต่เริ่มแรกที่กระทำนิติกรรมต่อกัน
กล่าวโดยสรุป “โมฆะกรรม” หมายถึง นิติกรรมที่เสียเปล่าไม่เคยเกิดขึ้นเลย ไม่มีผบตามกฎหมาย และไม่สามารถให้สัตยาบันให้นิติกรรมนั้นสมบูรณ์ได้
เหตุที่ทำให้นิติกรรมเป็นโมฆะมีดังนี้
1)
นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย
เป็นการพ้นวิสัยหรือเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
2)
นิติกรรมที่มิได้ทำถูกต้องตามแบบที่กฎหมายกำหนดไว้
3)
นิติกรรมที่เกิดจากการแสดงเจตนาซ่อนเร้นโดยคู่กรณีรู้ถึงเจตนาที่ซ่อนอยู่ในใจของผู้แสดง แสดงเจตนาลวง
อำพราง
หรือสำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรม
4)
นิติกรรมที่เป็นโมฆะกรรมแล้วถูกบอกล้างในภายหลัง
5) นิติกรรมเป็นโมฆะเพราะเหตุอื่น
ๆ ที่บัญญัติในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เช่น
การทำพินัยกรรมของผู้เยาว์ที่อายุไม่ครบ
15 ปีบริบูรณ์
8. นิติกรรมที่เป็นโมฆียะ
นิติกรรมที่เป็นโมฆียะ ถือเป็นความไม่สมบูรณ์ของนิติกรรมประเภทหนึ่ง “โมฆียกรรม”
หมายถึงนิติกรรมที่อาจถูกบอกล้างให้เป็นโมฆะแต่เริ่มแรกได้แต่ตามความหมายทางกฎหมายนั้น นอกจากโมฆียกรรมอาจถูกบอกล้างให้เป็นโมฆะแต่เริ่มแรกได้แล้ว
โมฆียะกรรมอาจได้รับสัตยาบันทำให้นิติกรรมนั้นสมบูรณ์แต่เริ่มแรกได้เช่นกัน
กล่าวโดยสรุป “โมฆียะ”
หมายถึง
นิติกรรมที่มีผลจนกว่าจะถูกบอกล้างโดยผู้มีอำนาจบอกล้างตามกฎหมาย
การให้สัตยาบัน
คือการรับรองนิติกรรมที่เป็นโมฆียะให้มีผลสมบูรณ์โดยผู้มีสิทธิบอกล้างโมฆียะกรราม เช่น
ผู้แทนโดยชอบธรรม
ซึ่งมีผลให้นิติกรรมนั้นสมบูรณ์มาแต่เริ่มแรก
แต่การให้สัตยาบันนั้นต้องทำภายหลังที่นิติกรรมอันเป็นโมฆียะได้เกิดขึ้นแล้วเท่านั้น
ตัวอย่าง เช่น นายแดงอายุ 16
ปีซื้อรถมอเตอร์ไซด์ ราคา 60,000
บาทโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม นิติกรรมเป็นโมฆียะ
แต่บิดามารดาซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมเห็นว่าราคาถูกจึงไม่บอกล้างหรือให้การรับรองนิติกรรมที่เป็นโมฆียะ ถือเป็นการให้สัตยาบัน ทำให้นิติกรรมนั้นมีผลสมบูรณ์ตั้งแต่เริ่มแรก
เหตุที่ทำให้นิติกรรมเป็นโมฆียะมีดังนี้
1)
เป็นบุคคลผู้หย่อนความสามารถ
2)
เป็นการแสดงเจตนาโดยความสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์ การแสดงเจตนาเพราะกลฉ้อฉล หรือเพราะเหตุข่มขู่
ผลของนิติกรรมที่เป็นโมฆียะ มีผลตามกฎหมายดังนี้
1)
โมฆียะกรรมสามารถบอกล้างได้
2)
โมฆียกรรมสามารถให้สัตยาบัน
3)
โมฆียกรรมเมื่อบอกล้างแล้วคู่กรณีให้กลับคืนสู่ฐานะเดิม เช่น
นายเล็กเป็นผู้เยาว์
นำรถจักรยานไปขายให้นายใหญ่
มีผลเป็นโมฆียะ
เมื่อผู้แทนโดยชอบธรรมบอกล้างนิติกรรม
นายใหญ่ต้องคืนจักรยานให้นายเล็ก
นายเล็กต้องคืนเงินให้กับนายใหญ่
กำหนดระยะเวลาในการบอกล้างนิติกรรมที่เป็นโมฆียะ กฎหมายกำหนดไว้เป็น 2 ช่วงเวลา ดังนี้
1)
ต้องบอกล้างภายในระยะเวลา 1 ปี
นับแต่เวลาที่อาจให้สัตยาบันได้ หรือ
2)
ต้องบอกล้างภายใน 10 ปี นับแต่ทำนิติกรรม
ตัวอย่าง เช่น
นายอเนกอายุ 17 ปีขายรถยนต์ให้กับนายอนันต์ นิติกรรมเป็นโมฆียะ แต่เมื่อนายอเนกอายุครบ 20
ปี อาจบอกล้างได้ภายใน 1
ปีนับแต่วันที่บรรลุนิติภาวะได้
หรือหากบิดาของนายอเนกซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมรู้ว่าได้มีการทำนิติกรรมที่เป็นโมฆียะก็สามารถบอกล้างได้ภายใน
1 ปีนับแต่เวลาที่ทำนั้น
หรือจากตัวอย่างเดิม
นายอเนกหรือบิดาซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมจะบอกล้างได้ภายใน 10 ปี นับแต่วันที่ขายรถก็ทำได้
แต่อย่างไรก็ตามการบอกล้างภายใน 1
ปีนับแต่ให้สัตยาบันนั้นต้องไม่เกินกว่า 10 ปีนับแต่วันที่ทำนิติกรรม
ที่มา http://www.thethailaw.com/
ที่มา http://www.thethailaw.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น