การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ
ในระดับแรกเป็นการรวมตัวที่เรียกว่า เขตการค้าเสรี ( Free Trade
Area) เป็นลักษณะการรวมกลุ่มที่ประเทศสมาชิกเปิดโอกาสให้เคลื่อนย้ายสินค้าระหว่างกันได้โดยเสรี
กล่าวคือ ไม่มีการเก็บภาษีศุลกากรและไม่มีโควต้า
ระดับที่สองเป็นการรวมกลุ่มที่ลึกซึ้งงกว่าระดับแรกเรียกว่า สหภาพศุลกากร (
Customs Union) เป็นลักษณะการรวมกลุ่มที่นอกจากจะเป็นเขตการค้าเสรีแล้ว
ประเทศสมาชิกยังประสบความสำเร็จในการประสานภาษีศุลกากรที่ใช้กับสินค้าที่มาจากประเทศที่สามให้อยู่ในระดับเดียวกัน
ระดับที่สามเป็นการรวมกลุ่มที่เราเรียกว่าตลาดร่วม ( Common
Market) กล่าวคือ สินค้าและปัจจัยการผลิตอื่นๆ อันได้แก่ เงินทุน
แรงงาน และบริการ จะมีการเคลื่อนย้ายเสรีในประเทศสมาชิกลักษณะการรวมตัวเป็นตลาดร่วมนั้นจะมีความลึกซึ้งกว่าเขตการค้าเสรี
ในประเด็นที่ว่า เขตการค้าเสรีนั้นจะเปิดโอกาสให้ปัจจัยการผลิตประเภทเดียวคือ
สินค้าสมารถเคลื่อนย้ายโดยเสรี
แต่ในตลาดร่วมนั้นปัจจัยการผลิตที่จะเปิดให้เคลื่อนย้ายโดยเสรีนั้น มี 4 ส่วนด้วยกันคือ
นอกจากสินค้าแล้ว ยังมีเงินทุน แรงงาน และบริการ ก็มีการเคลื่อนย้ายโดยเสรีด้วย
โดนเฉพาะในการปล่อยให้เกิดการเคลื่อนย้ายโดยเสรีในปัจจัยการผลิตทั้งสามประเภทหลังที่กล่าวนั้น
ย่อมหมายถึงการปรับตัวบทกฏหมายเพื่อให้มีความเท่าเทียมกันหรือลักษณะเหมือนกัน
สำหรับประเทศสมาชิก
ระดับที่สี่ เป็นการรวมตัวที่ลึกซึ้งกว่าเป็นตลาดร่วม เราเรียกว่า
สหภาพทางเศรษฐกิจหรือทางการเงิน ( Economic Union หรือ Monetary
Union ) การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในลักษณะนี้
ย่อมหมายถึงการรวมกลุ่มที่ลึกซึ้งกว่าเป็นตลาดร่วมเพราะนอเหนือจากจะเปิดให้ปัจจัยการผลิตสามารถเคลื่อนย้ายโดยเสรีแล้ว
ยังหมายถึงความสำเร็จในการประสานนโยบายเศรษฐกิจ และการเงินระหว่างประเทศสมาชิก
การรวมกลุ่มระดับสุดท้ายเป็นระดับสูงสุด
เราเรียกว่าสหภาพเศรษฐกิจสมบูรณ์แบบ (Total Economic Union) ในการรวมกลุ่มในลักษณะนี้นั้น
ประเทศสมาชิกประสบความสำเร็จถึงขั้นที่ดำเนินนโยบายและการเงินในลักษณะที่เป็นหนึ่งเดียว
ความแตกต่างระหว่างระดับที่สี่คือ สหภาพเศรษฐกิจและการเงินกับระดับที่ห้า คือ
ระดับสมบูรณ์แบบ อยู่ตรงประเด็นที่ว่า
ในระดับที่สี่นั้นประเทศสมาชิกจะประสบความสำเร็จเพียงการประสานนโยบายทางเศรษฐกิจ
กล่าวคือ ยังมีความแตกต่างกันในระดับหนึ่ง
แต่ในการรวมกลุ่มขั้นเศรษฐกิจสมบูรณ์แบบนั้นประเทศสมาชิกจะดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจและการเงินเป็นหนึ่งเดียว
การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจนั้นประเทศต่างๆจะต้องอยู่ในลักษณะใดลักษณะหนึ่งของ5
ประเด็นดังที่กล่าวถึงเราจะเห็นว่าในปัจจุบันนี้ การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจเป็นปรากฏการณ์ที่ขยายความเข้มข้นไปสู่ทุกทวีป
เราจะเห็นได้ว่า ในทวีปอเมริกานั้นก็มีการรวมกลุ่มในลักษณะที่เป็นเขตการค้าเสรีอเมริการเหนือ(NAFTA)
ในยุโรปก็มีการรวมกลุ่มหลายแบบ ทั้งเขตการค้าเสรี(EFTA) มีการรวมกลุ่มในลักษณะที่เป็นตลาดร่วมและกำลังขยายตัวต่อไปในลักษณะที่เป็นตลาดร่วมและกำลังขยายตัวต่อไปในลักษณะที่เป็นสหภาพทางเศรษฐกิจภายใต้กรอบที่เรียกว่าสหภาพยุโรป
( European Union) และในภูมิภาคเอเชียก็มีการรวมกลุ่มที่เรียกว่า
เขตการค้าเสรีอาเซียน ( AFTA)
การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจซึ่งความจริงนั้นก็มีกันมานาน ประชาคมยุโรป (
European Community ) ก่อกำเนิดตั้งแต่ปี 1952 ในรูปขององค์การประชาคมถ่านหินและเหล็กยุโรป (ECSC) โดยมีเป้าหมายในการรวมเป็นตลาดร่วมและหลังจากนั้นก็มีการขยายตัวมาครอบคลุมภาคเศรษฐกิจอื่นๆ
นอกเหนือจากถ่านหินและเหล็ก มาเป็นภาคเศรษฐกิจโดยทั่วไปตลอดจนกระทั่งในด้านเกี่ยวกับพลังงานปรมณูจนเรียกกันว่าเป็นประชาคมยุโรป
อย่างไรก็ตามการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจนั้นมีการขยายวง
และมีอัตราเร่งที่สูงขึ้นในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงของระบบโลกโลกยุคหลังสงครามเย็นเป็นตัวกำหนดและเป็นตัวเร่งทำให้เกิดความจำเป็นต้องรวมกลุ่ม
เพื่อขยายอำนาจต่อรองและสร้างศักยภาพในการแข่งขันในบริษัทดังกล่าว เราจะเห็นได้ว่า
NAFTA และ AFTA ก็ได้ก่อกำเนิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน
แรงผลักดันที่ทำให้เกิดการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจนั้น
อาจกล่าวได้ว่าเกิดจากปัจจัยต่างๆ หลายประการด้วยกัน
ประการแรก
การรวมกลุ่มในทางเศรษฐกิจนั้นเกิดขึ้นเพราะความจำเป็นที่จะสร้างศักยภาพในแง่ของการแข่งขันทางเศรษฐกิจตลอดจนกระทั่งสร้างอำนาจต่อรอง
การรวมตัวของประชาคมยุโรปเพื่อที่จะให้เป็นยุโรปตลาดเดียวมีพื้นฐานของตรรกะในแง่ที่ต้องการเสริมสร้างศักยภาพเพื่อแข่งขันกับญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การคำนึงถึงลักษณะของต้นทุนต่อหน่วยที่เราเรียกว่า Economy
of Scale การพัฒนาเทคโนโลยี ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยต้นทุน
และขนาดตลาดที่ใหญ่โต ซึ่งจะเกิดขึ้นมาได้ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ
การพัฒนาสู่ยุโรปตลาดเดียวจึงมีตรรกะบนพื้นฐานของการสร้างขนาดให้ใหย๋โต
และมีพลังพอที่จะกระตุ้นการพัฒนาทางเทคโนโลยี
และความสามารถในการแข่งขันเพื่อรองรับการท้าทายที่มาจากประเทศสหรัฐฯ และญี่ปุ่น
การก่อกำเนิดของ AFTA และ NAFTA ก็เช่นเดียวกัน
เป็นผลมาจากความจำเป็นในการที่เสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันและสร้างอำนาจต่อรองในโลกของการขยายตัวในด้านการแข่งขันในบริบทของโลกานุวัตร
ประการที่สอง การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจนั้น
อาจจะเป็นผลหรือแรงผลักดันที่ลึกๆในแง่ของการเมืองอยู่
การรวมกลุ่มในทางเศรษฐกิจอาจหมายถึงเป็นจุดเริ่มต้นเพื่อที่จะทำให้เกิดการกระตุ้นเพื่อสร้างความแน่นแฟ้นในการรวมตัวทางการเมืองในอนาคต
ดังจะเห็นได้ว่าการก่อกำเนิดของประชาคมถ่านหินและเหล็กยุโรปนั้นมีวัตถุประสงค์ที่จะใช้เป็นกลไกกระตุ้นให้เกิดการรวมตัวที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
และถ่านหินและเหล็กยุโรปนั้นมีวัตถุประสงค์ที่จะใช้เป็นกลไกกระตุ้นให้เกิดการรวมตัวที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
และพยายามที่จะใช้เป็นกลไกกระตุ้นสู่การรวมตัวทางการเมืองตามที่ผู้ก่อตั้งต้องการ
และตรรกะในตัวมันเองการรวมตัวทางเศรษฐกิจนั้นย่อมเสริมสร้างพลังอำนาจต่อรองทางการเมือง
และอาจนำไปสู่การรวมตัวทางการเมืองเป็นกิจจะลักษณะอีกทางหนึ่งด้วย
ประการที่สาม การรวมกลุ่มในทางเศรษฐกิจนั้น
ส่วนหนึ่งก็มีความสัมพันธ์กับเป้าหมายที่สัมพันธ์กันในแง่ของวัฒนธรรม
การรวมกลุ่มในทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาคมยุโรปก็มีต้นกำเนิดมาจากลักษณะของประเทศที่มีวัฒนธรรม
ใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตาม ในโลกของการแข่งขันนั้น
ความสำคัญของวัฒนธรรมที่เป็นแรงกระตุ้นของการรวมตัวนั้นยังมีน้อยไปกว่าลักษณะของเศรษฐกิจที่มีส่วนเสริมซึ่งกันและกัน
( Complementarity ) ดังจะเห็นได้ว่า
ในกรณีของเขตการค้าเสรีอาเซียน แม้ว่าวัฒนธรรมในประเทศ
ตลอดจนประวัติศาสตร์ของกลุ่มประเทศนั้น ยังมีลักษณะแตกต่างกัน
แต่ตัวเร่งที่ทำให้เกิดผลสำเร็จในการรวมตัวของอาเซียน
ก็คือปัจจัยของลักษณะเศรษฐกิจที่เริ่มลักษณะเสริมกันและกันมากขึ้น
และที่สำคัญก็คือ ความจำเป็นในการที่เสริมสร้างพลังต่อรองที่เกิดขึ้น
ความสำเร็จของประชาคมยุโรปที่มีมาตั้งแต่ต้นนั้น
ก็มาจากปัจจัยเดียวกันก็คือลักษณะเศรษฐกิจที่มีส่วนเสริมซึ่งกันและกัน
การพัฒนาตลาดร่วมยุโรปนั้นเป็นผลมาจากอำนาจต่อรองที่สำคัญและให้ผลประโยชน์ต่างกัน
ตอบแทนแก่ประเทศสมาชิก เช่น
ในกรณีของอิตาลีก็จะได้ผลประโยชน์จากการเคลื่อนย้ายแรงงาน ในขณะที่ฝรั่งเศสนั้นก็จะได้ประโยชน์จากการขยายตลาดสินค้าเกษตร
และขณะเดียวกันเยอรมันก็ได้ประโยชน์จากการขยายตลาดสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร
เพราะฉะนั้นลักษณะที่เสริมต่อกันทางเศรษฐกิจจึงเป็นปัจจัยตัวหนึ่งที่ทำให้เกิดการขยายตัวของการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ
ในโลกปัจจุบันเราอาจจะเห็นได้ว่า การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจที่สำคัญนั้น
มีอยู่ 3 กลุ่ม ลักษณะการรวมตัวในอเมริกาเหนือ คือ
เขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ อันประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา แคนาดา และแม็กซิโก
หรือการรวมตัวของ 6 ประเทศสมาชิกอาเซียนที่เราเรียกว่า AFTA ก็ดีนั้นจะมีลักษณะที่คล้ายกันหรือเหมือนกัน
เพราะว่ามีลักษณะกำหนดทิศทางสินค้าระหว่างประเทศสมาชิกนั้น
ไม่มีโควต้าและไม่เสียภาษี ในกรณี AFTA นั้น
มรเงื่อนระยะเวลาในการบรรลุ 15 ปี
โดยมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2536 และเมืองครบกำหนดแล้วสินค้าทุกประเภท ยกเว้นสินค้าเกษตร
จะมีภาษีเท่ากับศูนย์หรือไม่เกินร้อยละ 5 ผลพวงจากการเปลี่ยนแปลงของการรวมกลุ่มโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของภูมิภาคเอเชียอาคเนย์นั้น
คงจะส่งผลให้โครงสร้างทางการค้าและการลงทุนของประเทศในอาเซียนมีการเปลี่ยนแปลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ลักษณะของการค้าที่มีการขยายตัวในการลงทุนข้ามชาติ และทำให้เกิดการเชื่อมต่อในด้านการเงิน
ในขณะเดียวกันการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ การย้ายฐานการผลิต
ผลจากการรวมตัวทางเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นในกรณีของนาฟต้า สหภาพยุโรป หรืออาฟต้า ก็ดี
ย่อมส่งผลให้ธุรกิจนั้นจำเป็นต้องปรับหรือย้ายฐานการผลิต เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงการค้าในบางครั้งอาจจะถูกทดแทนด้วยการร่วมทุน
ทั้งนี้เพราะความจำเป็นในการที่จะต้องขยายหรือรักษาตลาดการส่งออกภายใต้สิทธิพิเศษทางภาษีที่มีการเปลี่ยนแปลง
การรมกลุ่มในทางเศรษฐกิจของภูมิภาคต่างๆนั้น
ว่ากันไปแล้วจะมิใช่การรวมกลุ่มเพื่อทำสงครามการค้า แต่จะเป็นการรวมกลุ่มเพื่อสร้างอำนาจต่อรองในโลกที่มีการขยายตัวทางการค้าและการลงทุนที่ไร้พรมแดน
ในกระบวนการรวมกลุ่มทั้งหมดนั้น เราจะเห็นว่าสหภาพยุโรปนั้น
ลักษณะการรวมกลุ่มจะมีความซีบซ้อนและมีความลึกซ฿งแตกต่างกันหลายระดับในกลุ่มใประเทศสหภาพยุโรปซึ่งเป็นการรวมตัวที่ลึกซึ้งที่สุด
ที่เรียกว่าเป็นการรวมตัวแบบสหภาพทางการเงินเศรษฐกิจ และการเมือง
ซึ่งเรียกรวมกันว่า “ สหภาพยุโรป “ นั้นประกอบด้วย
12 ประเทศ ได้แก่ ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี เนเธอร์แลนด์
เบลเยี่ยม ลักซัมเบอร์ก อังกฤษ เดนมาร์ก ไอร์แลนด์ (Ireland) กรีก สเปน และโปรตุเกส ซึ่งได้บรรลุตั้งแต่ปลายปี 1992 ของการเป็นยุโรปตลาดเดียว
หรือการเป็นตลาดร่วมยุโรปและกำลังมุ่งเป้าสู่การเป็นสหภาพทางการเงินทางเศรษฐกิจและการเมืองในอนาคตตามพื้นฐานสนธิสัญญามาสทริกส์
ซึ่งนั่นหมายความว่า ในอนาคตการรวมกลุ่มของ 12 ประเทศนี้
ถ้าเป็นไปตามเป้าหมายที่คาดไว้จะเป็นการรวมกลุ่มที่ไม่ใช่จำกัดแค่มิติทางเศรษฐกิจเท่านั้น
แต่ขยายไปสู่มิติทางการเมือง
อันหมายถึงการประสานนโยบายทางด้านเกี่ยวกับกลาโหมและต่างประเทศ
ในยุโรปนั้น นอกจากสหภาพยุโรปนั้น ยังมีการรวมตัวของอีก 7 ประเทศในลักษณะที่เป็นเขตการค้าเสรี ซึ่งเรียกว่าเขตการค้าเสรียุโรป (EFTA
) อันประกอบด้วย สวีเดน นอร์เวย์ ฟินแลนด์ ไอร์แลนด์ (Ireland)
ออสเตรีย สวิสเซอร์แลนด์ และ ลิกเซนท์ไตล์ (Liechentein) ซึ่งมีการรวมตัวกันมาตั้งแต่ปี 1959 โดยการริเริมของประเทศอังกฤษ
อย่างไรก็ตามเมื่อประเทศอังกฤษได้ลาออกไปเพื่อเข้าเป็นสามชิกของสมาคมยุโรปในปี 1973
สมาคมเขตการค้าเสรียุโรปที่เราเรียกว่า EFTA นี้จึงเหลืออยู่
7 ประเทศ
ซึ่งเป็นการรวมตัวกันในลักษณะที่ให้สินค้าด้านอุตสาหกรรมเคลื่อนย้ายอย่างเสรีในประเทศสมาชิก
อย่างไรก็ตาม 4 ประเทศ
สมาชิกของเขตการค้าเสรียุโรปอันประกอบด้วย ออสเตรีย นอร์เวย์ ฟินแลนด์ และสวีเดน
นั้น ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป
และถ้าหากว่าผ่นกลไกในการหยั่งเสียงเรียบร้อยแล้วก็อาจจะเข้ามาเป็นสมาชิกปี 1995
เป็นต้นไป
ระหว่างสหภาพยุโรปกับเขตการค้าเสรียุโรปนั้นก็ได้มีความสัมพันธ์กันมาก่อนในลักษณะที่เป็นเขตการค้าเสรี
กล่าวคือ 12 ประเทศของสหภาพยุโรป และ 7 ประเทศของเขตการค้าเสรียุโรป ได้ผูกพันที่จะให้สินค้าระหว่าง 19 ประเทศสามารถเคลื่อนย้ายได้โดยเสรี
สินค้าที่ว่านั้นจะจำกัดเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันที่ 12
มกราคม 1994 ประเทศสหภาพยุโรปและเขตการค้าเสรียุโรป
ได้มีการตกลงทำสนธิสัญญาซึ่งเรียกว่า “ เขตเศรษฐกิจยุโรป”
(European Economic Area) ซึ่งเท่ากับเป็นการขยายการรวมตัวลึกซึ้งยิ่งกว่าเขตการค้าเสรี
โดยครอบคลุมเกี่ยวกับด้านเงินทุน แรงงาน และ บริการเคลื่อนย้ายโดยเสรีใน 18
ประเทศ ( เนื่องจากว่าสวิสเซอร์แลนด์ได้ถอนตัวออก)
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ 18 ประเทศนี้ได้มีการก่อตั้งเพื่อขยายเป็นกึ่งยุโรปตลาดเดียวนั่นเอง
นอกเหนือจากนั้น ในความสัมพันธ์ระหว่างสหภาพยุโรปกับประเทศอื่นๆ ในยุโรป
ก็มีความสัมพันธ์แบบกึ่งการค้าเสรีกลายๆ กล่าวคือ
สหภาพยุโรปได้มีการทำข้อตกลงทวิภาคี กับประเทศที่เคยเป็นอดีตยุโรปตะวันออก เช่น
โปรแลนด์ ฮังการี สาธารณรัฐเชคโก ฯลฯ ในลักษณะข้อตกลงยุโรป(European
Agreement) เนื้อหาของข้อตกลงดังกล่าวก็คือ
เปิดโอกาสให้สินค้ายุโรปตะวันออกสามารถเคลื่อนย้ายเข้ามาประเทศสหภาพยุโรปได้โดยเสรี
แต่ไม่ได้ครอบคลุมสินค้าทุกประเภท เพียงแต่ครอบคลุมในระดับหนึ่ง
นอกจากนี้สหภาพยุโรปยังให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงิน
ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะเปิดโอกาสให้ประเทศเหล่านี้สามารถปรับปรุงตัว
และสร้างเงื่อนไขเพียงพอที่จะเข้ามาเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปในอนาคต
ในขณะเดียวกันสหภาพยุโรปก็ได้มีข้อตกลงสองฝ่ายกับกลุ่มประเทศริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
อันประกอบด้วย ตุรกี มอรอคโค อัลจีเรีย ตูนีเซียฯลฯ ในรูปแบบของข้อตกลงที่เรียกว่า
Association Agreement ซึ่งเนื้อหาคล้ายข้อตกลงยุโรป คือ
เปิดโอกาสให้สวินค้าบางประเภทที่มาจากประเทศแถบทะเลเมอดิเตอร์เรเนียนเข้าสู่สหภาพยุโรปได้โดยไม่ต้องเสียภาษี
หรือเสียภาษีต่ำ เพราะฉะนั้นว่ากันไปแล้ว ในภูมิภาคยุโรปนั้น
การรวมตัวทางเศรษฐกิจนั้นมีความซับซ้อน
มีความลึกซึ้งหลายรูปแบบและมีมิติที่แตกต่างกันตามนัยยะของความสัมพันธ์
อาจสรุปได้ว่า การรวมตัวทางเศรษฐกิจในปัจจุบันนี้ ได้เกิดขึ้นทุกภูมิภาคและมีการขยายวงอย่างกว้าง
อันเป็นผลมาจากแรงกระตุ้นจากโลกของการขยายตัวของการแข่งขันบนพื้นฐานของโลกที่ไร้พรมแดน
บนพื้นฐานของการแข่งขันของธุรกิจในบริบทของโลกที่ไม่มีความตึงเครียดทางการเมืองเป็นตัวกำหนด
เป็นโลกของการแข่งขันและการร่วมมือในทางเศรษฐกิจและทางธุรกิจ
การรวมกลุ่มในทางเศรษฐกิจจึงเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของโลกในยุคใหม่ที่เราเรียกว่า
ยุคหลังสงครามเย็น เป็นโลกยุคใหม่ที่กำลังจัดลำดับระเบียบโลก
การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจจึงเป็นองค์ประกอบหนึ่งของสิ่งที่เราเรียกว่า
ระเบียบโลกใหม่ ( New World Order)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น