วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

17.การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ


การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ
 

 
การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจนั้นอาจแบ่งลักษณะในการรวมตัวตามความลึกซึ้องออกเป็น 5 ระดับด้วยกัน

                ในระดับแรกเป็นการรวมตัวที่เรียกว่า เขตการค้าเสรี ( Free Trade Area) เป็นลักษณะการรวมกลุ่มที่ประเทศสมาชิกเปิดโอกาสให้เคลื่อนย้ายสินค้าระหว่างกันได้โดยเสรี กล่าวคือ ไม่มีการเก็บภาษีศุลกากรและไม่มีโควต้า

                ระดับที่สองเป็นการรวมกลุ่มที่ลึกซึ้งงกว่าระดับแรกเรียกว่า สหภาพศุลกากร ( Customs Union) เป็นลักษณะการรวมกลุ่มที่นอกจากจะเป็นเขตการค้าเสรีแล้ว ประเทศสมาชิกยังประสบความสำเร็จในการประสานภาษีศุลกากรที่ใช้กับสินค้าที่มาจากประเทศที่สามให้อยู่ในระดับเดียวกัน

                ระดับที่สามเป็นการรวมกลุ่มที่เราเรียกว่าตลาดร่วม ( Common Market) กล่าวคือ สินค้าและปัจจัยการผลิตอื่นๆ อันได้แก่ เงินทุน แรงงาน และบริการ จะมีการเคลื่อนย้ายเสรีในประเทศสมาชิกลักษณะการรวมตัวเป็นตลาดร่วมนั้นจะมีความลึกซึ้งกว่าเขตการค้าเสรี ในประเด็นที่ว่า เขตการค้าเสรีนั้นจะเปิดโอกาสให้ปัจจัยการผลิตประเภทเดียวคือ สินค้าสมารถเคลื่อนย้ายโดยเสรี แต่ในตลาดร่วมนั้นปัจจัยการผลิตที่จะเปิดให้เคลื่อนย้ายโดยเสรีนั้น  มี 4 ส่วนด้วยกันคือ นอกจากสินค้าแล้ว ยังมีเงินทุน แรงงาน และบริการ ก็มีการเคลื่อนย้ายโดยเสรีด้วย โดนเฉพาะในการปล่อยให้เกิดการเคลื่อนย้ายโดยเสรีในปัจจัยการผลิตทั้งสามประเภทหลังที่กล่าวนั้น ย่อมหมายถึงการปรับตัวบทกฏหมายเพื่อให้มีความเท่าเทียมกันหรือลักษณะเหมือนกัน สำหรับประเทศสมาชิก

                ระดับที่สี่ เป็นการรวมตัวที่ลึกซึ้งกว่าเป็นตลาดร่วม เราเรียกว่า สหภาพทางเศรษฐกิจหรือทางการเงิน ( Economic Union หรือ Monetary Union ) การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในลักษณะนี้ ย่อมหมายถึงการรวมกลุ่มที่ลึกซึ้งกว่าเป็นตลาดร่วมเพราะนอเหนือจากจะเปิดให้ปัจจัยการผลิตสามารถเคลื่อนย้ายโดยเสรีแล้ว ยังหมายถึงความสำเร็จในการประสานนโยบายเศรษฐกิจ และการเงินระหว่างประเทศสมาชิก

                การรวมกลุ่มระดับสุดท้ายเป็นระดับสูงสุด เราเรียกว่าสหภาพเศรษฐกิจสมบูรณ์แบบ (Total Economic Union) ในการรวมกลุ่มในลักษณะนี้นั้น ประเทศสมาชิกประสบความสำเร็จถึงขั้นที่ดำเนินนโยบายและการเงินในลักษณะที่เป็นหนึ่งเดียว ความแตกต่างระหว่างระดับที่สี่คือ สหภาพเศรษฐกิจและการเงินกับระดับที่ห้า คือ ระดับสมบูรณ์แบบ อยู่ตรงประเด็นที่ว่า ในระดับที่สี่นั้นประเทศสมาชิกจะประสบความสำเร็จเพียงการประสานนโยบายทางเศรษฐกิจ กล่าวคือ ยังมีความแตกต่างกันในระดับหนึ่ง แต่ในการรวมกลุ่มขั้นเศรษฐกิจสมบูรณ์แบบนั้นประเทศสมาชิกจะดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจและการเงินเป็นหนึ่งเดียว

                การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจนั้นประเทศต่างๆจะต้องอยู่ในลักษณะใดลักษณะหนึ่งของ5 ประเด็นดังที่กล่าวถึงเราจะเห็นว่าในปัจจุบันนี้ การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจเป็นปรากฏการณ์ที่ขยายความเข้มข้นไปสู่ทุกทวีป เราจะเห็นได้ว่า  ในทวีปอเมริกานั้นก็มีการรวมกลุ่มในลักษณะที่เป็นเขตการค้าเสรีอเมริการเหนือ(NAFTA) ในยุโรปก็มีการรวมกลุ่มหลายแบบ ทั้งเขตการค้าเสรี(EFTA) มีการรวมกลุ่มในลักษณะที่เป็นตลาดร่วมและกำลังขยายตัวต่อไปในลักษณะที่เป็นตลาดร่วมและกำลังขยายตัวต่อไปในลักษณะที่เป็นสหภาพทางเศรษฐกิจภายใต้กรอบที่เรียกว่าสหภาพยุโรป ( European Union) และในภูมิภาคเอเชียก็มีการรวมกลุ่มที่เรียกว่า เขตการค้าเสรีอาเซียน ( AFTA)

                การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจซึ่งความจริงนั้นก็มีกันมานาน ประชาคมยุโรป ( European Community ) ก่อกำเนิดตั้งแต่ปี 1952 ในรูปขององค์การประชาคมถ่านหินและเหล็กยุโรป (ECSC) โดยมีเป้าหมายในการรวมเป็นตลาดร่วมและหลังจากนั้นก็มีการขยายตัวมาครอบคลุมภาคเศรษฐกิจอื่นๆ นอกเหนือจากถ่านหินและเหล็ก มาเป็นภาคเศรษฐกิจโดยทั่วไปตลอดจนกระทั่งในด้านเกี่ยวกับพลังงานปรมณูจนเรียกกันว่าเป็นประชาคมยุโรป อย่างไรก็ตามการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจนั้นมีการขยายวง และมีอัตราเร่งที่สูงขึ้นในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงของระบบโลกโลกยุคหลังสงครามเย็นเป็นตัวกำหนดและเป็นตัวเร่งทำให้เกิดความจำเป็นต้องรวมกลุ่ม เพื่อขยายอำนาจต่อรองและสร้างศักยภาพในการแข่งขันในบริษัทดังกล่าว เราจะเห็นได้ว่า NAFTA และ AFTA ก็ได้ก่อกำเนิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน แรงผลักดันที่ทำให้เกิดการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจนั้น อาจกล่าวได้ว่าเกิดจากปัจจัยต่างๆ หลายประการด้วยกัน

                ประการแรก การรวมกลุ่มในทางเศรษฐกิจนั้นเกิดขึ้นเพราะความจำเป็นที่จะสร้างศักยภาพในแง่ของการแข่งขันทางเศรษฐกิจตลอดจนกระทั่งสร้างอำนาจต่อรอง การรวมตัวของประชาคมยุโรปเพื่อที่จะให้เป็นยุโรปตลาดเดียวมีพื้นฐานของตรรกะในแง่ที่ต้องการเสริมสร้างศักยภาพเพื่อแข่งขันกับญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การคำนึงถึงลักษณะของต้นทุนต่อหน่วยที่เราเรียกว่า Economy of Scale การพัฒนาเทคโนโลยี ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องอาศัยต้นทุน และขนาดตลาดที่ใหญ่โต ซึ่งจะเกิดขึ้นมาได้ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศ การพัฒนาสู่ยุโรปตลาดเดียวจึงมีตรรกะบนพื้นฐานของการสร้างขนาดให้ใหย๋โต และมีพลังพอที่จะกระตุ้นการพัฒนาทางเทคโนโลยี และความสามารถในการแข่งขันเพื่อรองรับการท้าทายที่มาจากประเทศสหรัฐฯ และญี่ปุ่น การก่อกำเนิดของ AFTA และ NAFTA ก็เช่นเดียวกัน เป็นผลมาจากความจำเป็นในการที่เสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันและสร้างอำนาจต่อรองในโลกของการขยายตัวในด้านการแข่งขันในบริบทของโลกานุวัตร

                ประการที่สอง การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจนั้น อาจจะเป็นผลหรือแรงผลักดันที่ลึกๆในแง่ของการเมืองอยู่ การรวมกลุ่มในทางเศรษฐกิจอาจหมายถึงเป็นจุดเริ่มต้นเพื่อที่จะทำให้เกิดการกระตุ้นเพื่อสร้างความแน่นแฟ้นในการรวมตัวทางการเมืองในอนาคต ดังจะเห็นได้ว่าการก่อกำเนิดของประชาคมถ่านหินและเหล็กยุโรปนั้นมีวัตถุประสงค์ที่จะใช้เป็นกลไกกระตุ้นให้เกิดการรวมตัวที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และถ่านหินและเหล็กยุโรปนั้นมีวัตถุประสงค์ที่จะใช้เป็นกลไกกระตุ้นให้เกิดการรวมตัวที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และพยายามที่จะใช้เป็นกลไกกระตุ้นสู่การรวมตัวทางการเมืองตามที่ผู้ก่อตั้งต้องการ และตรรกะในตัวมันเองการรวมตัวทางเศรษฐกิจนั้นย่อมเสริมสร้างพลังอำนาจต่อรองทางการเมือง และอาจนำไปสู่การรวมตัวทางการเมืองเป็นกิจจะลักษณะอีกทางหนึ่งด้วย

                ประการที่สาม การรวมกลุ่มในทางเศรษฐกิจนั้น ส่วนหนึ่งก็มีความสัมพันธ์กับเป้าหมายที่สัมพันธ์กันในแง่ของวัฒนธรรม การรวมกลุ่มในทางเศรษฐกิจโดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาคมยุโรปก็มีต้นกำเนิดมาจากลักษณะของประเทศที่มีวัฒนธรรม ใกล้เคียงกัน อย่างไรก็ตาม ในโลกของการแข่งขันนั้น ความสำคัญของวัฒนธรรมที่เป็นแรงกระตุ้นของการรวมตัวนั้นยังมีน้อยไปกว่าลักษณะของเศรษฐกิจที่มีส่วนเสริมซึ่งกันและกัน ( Complementarity ) ดังจะเห็นได้ว่า ในกรณีของเขตการค้าเสรีอาเซียน แม้ว่าวัฒนธรรมในประเทศ ตลอดจนประวัติศาสตร์ของกลุ่มประเทศนั้น ยังมีลักษณะแตกต่างกัน แต่ตัวเร่งที่ทำให้เกิดผลสำเร็จในการรวมตัวของอาเซียน ก็คือปัจจัยของลักษณะเศรษฐกิจที่เริ่มลักษณะเสริมกันและกันมากขึ้น และที่สำคัญก็คือ ความจำเป็นในการที่เสริมสร้างพลังต่อรองที่เกิดขึ้น ความสำเร็จของประชาคมยุโรปที่มีมาตั้งแต่ต้นนั้น ก็มาจากปัจจัยเดียวกันก็คือลักษณะเศรษฐกิจที่มีส่วนเสริมซึ่งกันและกัน การพัฒนาตลาดร่วมยุโรปนั้นเป็นผลมาจากอำนาจต่อรองที่สำคัญและให้ผลประโยชน์ต่างกัน ตอบแทนแก่ประเทศสมาชิก เช่น ในกรณีของอิตาลีก็จะได้ผลประโยชน์จากการเคลื่อนย้ายแรงงาน ในขณะที่ฝรั่งเศสนั้นก็จะได้ประโยชน์จากการขยายตลาดสินค้าเกษตร และขณะเดียวกันเยอรมันก็ได้ประโยชน์จากการขยายตลาดสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร เพราะฉะนั้นลักษณะที่เสริมต่อกันทางเศรษฐกิจจึงเป็นปัจจัยตัวหนึ่งที่ทำให้เกิดการขยายตัวของการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ

                ในโลกปัจจุบันเราอาจจะเห็นได้ว่า การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจที่สำคัญนั้น มีอยู่ 3 กลุ่ม ลักษณะการรวมตัวในอเมริกาเหนือ คือ เขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ อันประกอบด้วย สหรัฐอเมริกา แคนาดา และแม็กซิโก หรือการรวมตัวของ 6 ประเทศสมาชิกอาเซียนที่เราเรียกว่า AFTA  ก็ดีนั้นจะมีลักษณะที่คล้ายกันหรือเหมือนกัน เพราะว่ามีลักษณะกำหนดทิศทางสินค้าระหว่างประเทศสมาชิกนั้น ไม่มีโควต้าและไม่เสียภาษี ในกรณี AFTA นั้น มรเงื่อนระยะเวลาในการบรรลุ 15 ปี โดยมีผลบังคับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2536 และเมืองครบกำหนดแล้วสินค้าทุกประเภท ยกเว้นสินค้าเกษตร จะมีภาษีเท่ากับศูนย์หรือไม่เกินร้อยละ 5 ผลพวงจากการเปลี่ยนแปลงของการรวมกลุ่มโดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีของภูมิภาคเอเชียอาคเนย์นั้น คงจะส่งผลให้โครงสร้างทางการค้าและการลงทุนของประเทศในอาเซียนมีการเปลี่ยนแปลงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ลักษณะของการค้าที่มีการขยายตัวในการลงทุนข้ามชาติ และทำให้เกิดการเชื่อมต่อในด้านการเงิน ในขณะเดียวกันการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ การย้ายฐานการผลิต ผลจากการรวมตัวทางเศรษฐกิจไม่ว่าจะเป็นในกรณีของนาฟต้า สหภาพยุโรป หรืออาฟต้า ก็ดี ย่อมส่งผลให้ธุรกิจนั้นจำเป็นต้องปรับหรือย้ายฐานการผลิต เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงการค้าในบางครั้งอาจจะถูกทดแทนด้วยการร่วมทุน ทั้งนี้เพราะความจำเป็นในการที่จะต้องขยายหรือรักษาตลาดการส่งออกภายใต้สิทธิพิเศษทางภาษีที่มีการเปลี่ยนแปลง

                การรมกลุ่มในทางเศรษฐกิจของภูมิภาคต่างๆนั้น ว่ากันไปแล้วจะมิใช่การรวมกลุ่มเพื่อทำสงครามการค้า แต่จะเป็นการรวมกลุ่มเพื่อสร้างอำนาจต่อรองในโลกที่มีการขยายตัวทางการค้าและการลงทุนที่ไร้พรมแดน ในกระบวนการรวมกลุ่มทั้งหมดนั้น เราจะเห็นว่าสหภาพยุโรปนั้น ลักษณะการรวมกลุ่มจะมีความซีบซ้อนและมีความลึกซ฿งแตกต่างกันหลายระดับในกลุ่มใประเทศสหภาพยุโรปซึ่งเป็นการรวมตัวที่ลึกซึ้งที่สุด ที่เรียกว่าเป็นการรวมตัวแบบสหภาพทางการเงินเศรษฐกิจ และการเมือง ซึ่งเรียกรวมกันว่า สหภาพยุโรป นั้นประกอบด้วย 12 ประเทศ ได้แก่ ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี เนเธอร์แลนด์ เบลเยี่ยม ลักซัมเบอร์ก อังกฤษ เดนมาร์ก ไอร์แลนด์ (Ireland) กรีก สเปน และโปรตุเกส ซึ่งได้บรรลุตั้งแต่ปลายปี 1992 ของการเป็นยุโรปตลาดเดียว หรือการเป็นตลาดร่วมยุโรปและกำลังมุ่งเป้าสู่การเป็นสหภาพทางการเงินทางเศรษฐกิจและการเมืองในอนาคตตามพื้นฐานสนธิสัญญามาสทริกส์ ซึ่งนั่นหมายความว่า ในอนาคตการรวมกลุ่มของ 12 ประเทศนี้ ถ้าเป็นไปตามเป้าหมายที่คาดไว้จะเป็นการรวมกลุ่มที่ไม่ใช่จำกัดแค่มิติทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ขยายไปสู่มิติทางการเมือง อันหมายถึงการประสานนโยบายทางด้านเกี่ยวกับกลาโหมและต่างประเทศ

                ในยุโรปนั้น นอกจากสหภาพยุโรปนั้น ยังมีการรวมตัวของอีก 7 ประเทศในลักษณะที่เป็นเขตการค้าเสรี ซึ่งเรียกว่าเขตการค้าเสรียุโรป (EFTA ) อันประกอบด้วย สวีเดน นอร์เวย์ ฟินแลนด์ ไอร์แลนด์ (Ireland) ออสเตรีย สวิสเซอร์แลนด์ และ ลิกเซนท์ไตล์ (Liechentein) ซึ่งมีการรวมตัวกันมาตั้งแต่ปี 1959 โดยการริเริมของประเทศอังกฤษ อย่างไรก็ตามเมื่อประเทศอังกฤษได้ลาออกไปเพื่อเข้าเป็นสามชิกของสมาคมยุโรปในปี 1973 สมาคมเขตการค้าเสรียุโรปที่เราเรียกว่า EFTA นี้จึงเหลืออยู่ 7 ประเทศ ซึ่งเป็นการรวมตัวกันในลักษณะที่ให้สินค้าด้านอุตสาหกรรมเคลื่อนย้ายอย่างเสรีในประเทศสมาชิก อย่างไรก็ตาม 4 ประเทศ สมาชิกของเขตการค้าเสรียุโรปอันประกอบด้วย ออสเตรีย นอร์เวย์ ฟินแลนด์ และสวีเดน นั้น ได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกของสหภาพยุโรป และถ้าหากว่าผ่นกลไกในการหยั่งเสียงเรียบร้อยแล้วก็อาจจะเข้ามาเป็นสมาชิกปี 1995 เป็นต้นไป

                ระหว่างสหภาพยุโรปกับเขตการค้าเสรียุโรปนั้นก็ได้มีความสัมพันธ์กันมาก่อนในลักษณะที่เป็นเขตการค้าเสรี กล่าวคือ 12 ประเทศของสหภาพยุโรป และ 7 ประเทศของเขตการค้าเสรียุโรป ได้ผูกพันที่จะให้สินค้าระหว่าง 19 ประเทศสามารถเคลื่อนย้ายได้โดยเสรี สินค้าที่ว่านั้นจะจำกัดเฉพาะสินค้าอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่วันที่ 12 มกราคม 1994 ประเทศสหภาพยุโรปและเขตการค้าเสรียุโรป ได้มีการตกลงทำสนธิสัญญาซึ่งเรียกว่า เขตเศรษฐกิจยุโรป” (European Economic Area) ซึ่งเท่ากับเป็นการขยายการรวมตัวลึกซึ้งยิ่งกว่าเขตการค้าเสรี โดยครอบคลุมเกี่ยวกับด้านเงินทุน แรงงาน และ บริการเคลื่อนย้ายโดยเสรีใน 18 ประเทศ ( เนื่องจากว่าสวิสเซอร์แลนด์ได้ถอนตัวออก) หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ 18 ประเทศนี้ได้มีการก่อตั้งเพื่อขยายเป็นกึ่งยุโรปตลาดเดียวนั่นเอง นอกเหนือจากนั้น ในความสัมพันธ์ระหว่างสหภาพยุโรปกับประเทศอื่นๆ ในยุโรป ก็มีความสัมพันธ์แบบกึ่งการค้าเสรีกลายๆ กล่าวคือ สหภาพยุโรปได้มีการทำข้อตกลงทวิภาคี กับประเทศที่เคยเป็นอดีตยุโรปตะวันออก เช่น โปรแลนด์ ฮังการี สาธารณรัฐเชคโก ฯลฯ ในลักษณะข้อตกลงยุโรป(European Agreement) เนื้อหาของข้อตกลงดังกล่าวก็คือ เปิดโอกาสให้สินค้ายุโรปตะวันออกสามารถเคลื่อนย้ายเข้ามาประเทศสหภาพยุโรปได้โดยเสรี แต่ไม่ได้ครอบคลุมสินค้าทุกประเภท เพียงแต่ครอบคลุมในระดับหนึ่ง นอกจากนี้สหภาพยุโรปยังให้ความช่วยเหลือทางด้านการเงิน ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะเปิดโอกาสให้ประเทศเหล่านี้สามารถปรับปรุงตัว และสร้างเงื่อนไขเพียงพอที่จะเข้ามาเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปในอนาคต ในขณะเดียวกันสหภาพยุโรปก็ได้มีข้อตกลงสองฝ่ายกับกลุ่มประเทศริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อันประกอบด้วย ตุรกี มอรอคโค อัลจีเรีย ตูนีเซียฯลฯ ในรูปแบบของข้อตกลงที่เรียกว่า Association Agreement ซึ่งเนื้อหาคล้ายข้อตกลงยุโรป คือ เปิดโอกาสให้สวินค้าบางประเภทที่มาจากประเทศแถบทะเลเมอดิเตอร์เรเนียนเข้าสู่สหภาพยุโรปได้โดยไม่ต้องเสียภาษี หรือเสียภาษีต่ำ เพราะฉะนั้นว่ากันไปแล้ว ในภูมิภาคยุโรปนั้น การรวมตัวทางเศรษฐกิจนั้นมีความซับซ้อน มีความลึกซึ้งหลายรูปแบบและมีมิติที่แตกต่างกันตามนัยยะของความสัมพันธ์

 

                อาจสรุปได้ว่า การรวมตัวทางเศรษฐกิจในปัจจุบันนี้ ได้เกิดขึ้นทุกภูมิภาคและมีการขยายวงอย่างกว้าง อันเป็นผลมาจากแรงกระตุ้นจากโลกของการขยายตัวของการแข่งขันบนพื้นฐานของโลกที่ไร้พรมแดน บนพื้นฐานของการแข่งขันของธุรกิจในบริบทของโลกที่ไม่มีความตึงเครียดทางการเมืองเป็นตัวกำหนด เป็นโลกของการแข่งขันและการร่วมมือในทางเศรษฐกิจและทางธุรกิจ การรวมกลุ่มในทางเศรษฐกิจจึงเป็นเสมือนสัญลักษณ์ของโลกในยุคใหม่ที่เราเรียกว่า ยุคหลังสงครามเย็น เป็นโลกยุคใหม่ที่กำลังจัดลำดับระเบียบโลก การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจจึงเป็นองค์ประกอบหนึ่งของสิ่งที่เราเรียกว่า ระเบียบโลกใหม่ ( New World Order)

 

 
อ้างอิง : สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์. การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ .วารสารเอเชียปริทัศน์. ปีที่15 ฉบับที่ 1(ประจำเดือน มกราคม-เมษายน 2537) :  1-7

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น